ใครเคยคิดว่าต้องมีสักทริปที่ขอเที่ยวแบบสโลวไลฟ์ โอกาสทองมาถึงแล้วค่ะ! อย่างถ้าใครเป็นมือใหม่ก็ให้เริ่มจากในบ้านเราก่อนก็ได้ เลือกเอาที่จังหวัดวิถีชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ เข้าคอนเซ็ปต์ ยังคงความเป็นธรรมชาติ เต็มไปด้วยสถานที่ทางวัฒนธรรม และสุดท้ายคือต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เช่นหนองคายจังหวัดทางภาคอิสาน ซึ่งมาคิดๆ ดูแล้วก็ถือว่าเป็นจังหวัดที่ตอบโจทย์ในทุกๆ ข้ออยู่นะ แถมเดินทางง่ายไปคนเดียวก็ได้หรือยกโขยงเป็นก๊วนก็สนุก ลองดูๆ
จองที่พักหนองคายคลิกที่ Traveloka
ถ้าอยากจะสัมผัสถึงวิถีชีวิตของเมืองนั้นๆ อย่างถ่องแท้ว่ากันว่าให้ลองไปเที่ยวตลาดดูค่ะ และถ้าเป็นหนองคายก็ต้องขอเชิญไปที่ตลาดท่าเสด็จเลย เอาเป็นว่าที่นี่มีสินค้าท้องถิ่นให้ซื้อหาแทบจะทุกอย่าง รวมถึงสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม, จีนด้วย แต่ที่มากไปกว่าการช้อปปิ้งก็คือคุณจะได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของชาวหนองคายนั่นเอง อีกอย่างด้วยโลเคชั่นของตลาดท่าเสด็จนั้นอยู่ริมแม่น้ำโขง ดังนั้นระหว่างช้อปก็จะได้ชมวิวของโค้งน้ำที่สวยงามเป็นของแถมด้วย คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม!
เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกอีกแห่งของหนองคายที่ควรไปโดนให้ได้สักครั้ง อีกทั้งวิวเบื้องล่างของภูห้วยอีสันนั้นยังสามารถมองเห็นเกาะแก่งของแม่น้ำโขงได้แบบสุดลูกหูลูกตาด้วย ยิ่งวันไหนที่ธรรมชาติเป็นใจมีทะเลหมอกจางๆ นะ ลอยเคลื่อนช้าๆ เหนือแม่น้ำ คุณเอ้ยยสวรรค์ชัดๆ เอาเป็นว่าไม่อธิบายมาก เพราะเราอยากให้คุณได้มาชมด้วยตาของตัวเองมากกว่า แต่ใช่ว่าของสวยๆ งามๆ จะให้คุณมาสัมผัสได้อย่างง่ายๆ ด้วยความที่ภูห้วยอีสันไม่อนุญาติให้นำรถส่วนตัวขับขึ้นไป ดังนั้น คุณจึงต้องใช้
บริการรถอีแต๋นของชาวบ้านเท่านั้น (ด้วยสาเหตุพื้นที่ค่อนข้างลาดชัน) โดยจุดขึ้นรถอีแต๋นก็มีอยู่ 2 จุดด้วยกันค่ะ ได้แก่ หน้า อ.บ.ต. บ้านม่วงและอีกที่คือครัวไม้น้ำ สะดวกที่ไหนก็เลือกเอาได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นช่วงเวลาที่ภูสวยที่สุดคือช่วง 5:30 - 8:00 น. อย่าขึ้นไปเลตจากนั้นล่ะ บอกไว้ก่อน
หรือในอีกชื่อคือพระธาตุหล้าหนอง ที่ในปัจจุบันเป็นพระธาตุก่ออิฐถือปูนล้มตะแคงไปตามกระแส น้ำอีกทั้งโผล่พ้นกลางลำน้ำโขงเพียงครึ่ง โดยส่วนใหญ่ผู้ที่มาเยี่ยมชมพระธาตุกลางน้ำนอกจากจะนั่งเรือเพื่อไปสักการะองค์พระธาตุอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังได้แวะไปขอพร ณ พระธาตุองค์จำลองที่ภายในได้บรรจุชิ้นส่วนขององค์พระธาตุกลางน้ำไว้ร่วมด้วย แถมทัศนียภาพโดยรอบพระธาตุก็ยังสวยงามน่าถ่ายภาพ นับว่าเป็นสถานที่ที่เพลินตาในขณะใครมาเยือนก็รู้สึกอิ่มบุญไปด้วย เห็นไหมว่าทูอิวันสุดๆ
เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของหนองคายที่ตอนนี้ผู้คนอื้ออึงสุดๆ ไปเลยสำหรับ “สกายวอล์ก วัดผาตากเสือ” แต่บอกก่อนว่าที่นี่ไม่ใช่สกายวอล์กธรรมดา เพราะเค้าคือจุดชมวิวที่มีพื้นเป็นกระจกใสแจ๋ว เป็นจุดขาย ไม่พอ! ส่วนที่เป็นกระจกยังยื่นออกไปจากบริเวณหน้าผาไกลถึง 6 เมตร เพื่อให้นักท่องที่ยว ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมีวิวด้านล่างอีกทั้งเบื้องหน้าอย่างทัศนียภาพของ แม่น้ำโขงอีกทั้งวิวเมืองสังข์ทอง ณ ประเทศลาว ที่งดงามจนทำให้ใครต่อใครลืมได้ชั่วขณะหนึ่งว่าตอนนี้ ตัวของคุณนั้นกำลังยืนอยู่บนกระจกใสที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 500 เมตร
เรียกว่าเป็นสถานที่จัดแสดงประติมากรรมปูนปั้นเทวาลัยกลางแจ้งขนาดมหึมาที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ซึ่งชาวหนองคายจะเรียกที่นี่ว่าวัดแขกนั่นเอง ที่ศาลาแก้วกู่ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อปู่ บุญเหลือ สุรีรัตน์ จากความเชื่อที่ว่าหลักคำสอนในทุกๆ ศาสนาสามารถนำมาผสมผสานกันได้ จะเห็นได้ว่าภายในอุทยานจึงมีทั้งพระรพุทธรูปปางต่างๆ เทพฮินดู รูปเคารพสัญลักษณ์แห่งศาสนาคริสต์ ไปจนถึงประติมากรรมเล่าเรื่องของรามเกียรติ์ และตำนานพื้นบ้าน ก็มีมารวมเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน
มาถึงหนองคายแต่ไม่เลี้ยวเข้าวัดหินหมากเป้งเพื่อมาเคารพสักการะรูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก็เหมือนกับว่าทริปนี้ดูจะยังไม่คอมพลีตเท่าไหร่นัก ซึ่งพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสีนั้นเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังทางภาคอิสาน โดยหลังจากท่านมรณภาพก็ได้มีการก่อสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิ พร้อมกับเป็นพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ไปในคราวเดียวกัน ภายในนอกจากจะมีรูปเหมือนของท่าน ยังอัดแน่นไปด้วยเครื่องอัฐบริขารที่ท่านเคยใช้ในยามมีชีวิตอยู่ รวมถึงเครื่องอัฐบริขารในการออกจาริกแสวงบุญ, วิปัสสนากัมมัฏ
ฐาน และยามที่ท่านได้ธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้บริเวณวัดนั้นยังร่มรื่นไปด้วยเหล่าพรรณไม้ มีศาลาสีขาวริมน้ำให้คุณได้นั่งรับลม และลานหินขนาดใหญ่ริมโขงที่ไม่ควรพลาดไปชมด้วยประการทั้งปวง!
ยามเย็นหากได้เดินรับลมพลางชมความสวยงามของแม่น้ำโขงแบบมุมสูงบนสะพานที่เชื่อม ระหว่าง 2 เมืองอย่างหนองคายและประเทศลาวก็เป็นอะไรที่ชิลล์น่าดู ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราและบุคคล ทั่วไปสามารถเดินเล่นได้จนถึงครึ่งสะพาน เพราะหลังจากนั้นก็จะเป็นเขตของทางลาวแล้ว แต่เอาจริงๆ ระยะทางเท่านั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพทางธรรมชาติอันสวยงามไร้การปรุงแต่ง สวยจนเลนส์ของกล้องถ่ายภาพก็บันทึกความงดงามได้ไม่เท่า สิ่งที่ทำได้คือคุณต้องมาเห็นด้วยตาของ
ตนเองค่ะ ถึงจะเติมเต็มความรู้สึกได้ครบถ้วน
อยากให้เป็นทริปสโลว์ไลฟ์ที่แท้ทรูงั้นก็ต้อง Add-on การล่องเรือเพิ่มเข้าไปในลิสต์ด้วยสิถึงจะฟิน อย่างขีดสุด ซึ่งหนึ่งในที่เที่ยวหนองคายเค้าก็มีสถานที่ที่ชื่อว่า “พันโขดแสนไคร้” น่าสนใจตรงที่แห่งนี้เป็นแกรนด์แคนยอนกลางลุ่มน้ำโขง ที่ระหว่างทางมีโขดหินน้อยใหญ่นับพันๆ โขดอีกทั้งต้นไคร้ขึ้นเป็นแสนๆ ต้น บนระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร โดยมีวิวทั้งจากฝั่งบ้านเราและสปป.ลาวอยู่เป็นเพื่อน เพื่อให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไปตลอดทาง
จากตำนานว่าที่นี่คือทางเข้า-ออกของธิดาพญานาค อีกทั้งมีหลายคนเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้ยังเป็นเส้นทางใต้ลำโขงที่สามารถเดินทางไป-มาระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ได้อีกด้วย ภายในถ้ำตระการตาด้วยเสาหินและโพรงต่างๆ จากธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ส่วนเส้นทางนั้นค่อนข้างเอาใจสายผจญภัยอยู่ค่ะ เพราะทั้งแคบและคดเคี้ยวต้องผ่านการมุด, คลาน รวมไปถึงในบางจังหวะจำเป็นต้องลุยแอ่งน้ำใต้ดิน ที่สำคัญจะต้องมีไกด์นำเท่านั้นถึงจะเข้าไปสำรวจภายในถ้ำได้ เอาเป็นว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดค่ะ
ที่เที่ยวหนองคายแห่งสุดท้ายที่เหมาะกับเอาไว้ปิดท้ายทริปให้สมบูรณ์น่าจะหนีไม่พ้น “วังบัวแดง” หลายท่านอาจจะเคยไปทะเลบัวแดงที่อุดรกันมาแล้ว สำหรับหนองคายก็มีวังบัวแดงให้คุณได้เช็คอินอยู่เช่นกัน โดยสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติแห่งนี้มีดอกบัวบานสะพรั่งเต็มท้องน้ำถึง 2,000 ไร่ ซึ่งคุณสามารถชมได้จากบนฝั่งหรือจะเลือกนั่งเรือเพื่อเข้าไปซึบซับอย่างใกล้ชิดก็ได้ แต่มีเงื่อนไขเพียงแค่คุณต้องไปช่วง หน้าหนาวเท่านั้น (ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะเห็นได้เพียงหนองน้ำอัน
เดียวดายโดยที่ไม่มีบัวแดงมาประดับนั่นเอง
เป็นไงกับ 10 ที่เที่ยวหนองคายที่เราคัดสรรมาบอกต่อ พอจะกระตุ้นต่อมอยากไปเที่ยวแล้วหรือยังคะ? แต่ถ้าใครมือไวแพ็กกระเป๋ารอแล้ว ก่อนออกเดินทางเรื่องที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยก็คือการจองที่พักโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นถ้ามือไม่ไวห้องพักที่หมายตาเอาไว้ก็อาจนกเอาได้ง่ายๆ ดังนั้นจองค่ะ คลิกไปที่ Traveloka เลย แล้วจะรู้ว่าความสะดวกสบายแบบที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มนั้นมีจริง!