ปูซานครั้งแรกแถมกะไม่ถูกว่าอยู่กี่วันดีถึงจะเที่ยวครบ ตัวเลข 3 วัน 2 คืนเลยเป็นจำนวนที่คนในกลุ่มตกลงกันว่า “เอาน่ะ...น่าจะพอ” ซึ่งเมื่อมาถึง ได้เที่ยว ใจนี่อยากจะเลื่อนตั๋วแล้วอยู่ต่อสัก 5 วันค่ะ แต่ความจริงก็ได้ผุดขึ้นมากลางหัวว่าปีนี้แกไม่มีวันให้ลาแล้ว เท่านั้นแหละเลยต้องพับโครงการอยู่ต่อไปไว้ทริปปูซานคราวหน้าละกัน
ดังนั้น 3 วัน 2 คืนต่อจากนี้เราจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด (ดูได้จากจำนวนพิกัดที่เราแวะเช็คอิน) ไม่ว่าจะเป็น Tourist Spot ที่มาปูซานทั้งทีก็ต้องโดนสักหน่อย ร้าน Selected Shop แหล่งช้อปย่านวัยรุ่น และอาหารที่ไม่ว่าจะเป็นร้านแนะนำจากคนโลคอล ไปจนถึงคาเฟ่บรรยากาศดี ทั้งหมดเราก็เก็บมาจนครบ
หลังจากลงเครื่อง ผ่านตม. รับกระเป๋า ก็ถึงเวลาที่ต้องหาทางเข้าเมืองเป็นอันดับต่อไปค่ะ และไม่ว่าจะไปเที่ยวไหนถ้าไม่เลือกนั่งรถไฟก็ Limousine Bus นี่แหละที่เรามองว่าสะดวกสุด ซึ่งปูซานครั้งนี้ด้วยความที่ไฟลท์มาถึงเช้า ร่างและสติจึงยังไม่เข้าที่ เลยคิดว่าถ้าได้นอนบนรถเพิ่มสักนิดนึงก็น่าจะดี สองขาเลยพามาหยุดที่ป้าย Bus Stop 2 เส้นที่จะพาเราไปยังแถบหาดแฮอึนแด (Haeundae) สำหรับค่าใช้จ่ายต่อคนก็จะอยู่ที่ 7,000 วอนค่ะ จ่ายกับคุณลุงคนขับรถได้เลย บอกไว้ก่อนว่าที่นี่รับแต่เงินสดนะ T-Money นั้นเก็บเข้ากระเป๋าไปก่อนเลยจ้า
งีบได้ไม่ถึงชั่วโมงดีก็มาถึงป้าย Dongbaek-seom โลเคชั่นที่ใกล้ที่พักของเรามากที่สุด ซึ่งก่อนที่จะเดินหน้าต่อพร้อมๆ กับกระเป๋าที่หนักกว่า 10 โล แอปพลิเคชั่นที่ควรค่าแก่การโหลดมาไว้ติดเครื่องก็คือ Naver Map และ KakaoMap เพราะไม่เพียงแต่มันจะพาเราไปยังที่พักได้อย่างถูกต้อง (แม้เส้นทางที่จะไปยังโฮสเทลมันจะไม่ซับซ้อนก็เหอะ) สองแอปฯ นี้ยังทำหน้าที่บอกพิกัดสถานที่ต่างๆ ที่เราอยากจะไปได้เป๊ะตลอดทริป ใครที่กำลังจะไปเกาหลีแนะนำให้โหลดไว้เลยค่ะ ไม่ผิดหวังชัวร์
และทริปนี้ดีมากไปอีกเพราะเราจองโฮลเทลกับ Traveloka แม้ว่าราคาห้องพักต่อคืนจะน่ารักกกกกกอยู่แล้ว (ช่วงที่เราไปนอน 2 คืนจ่ายแค่ 2,000 กว่าบาท) แต่เมื่อได้มาจองกับที่นี่ ค่าธรรมเนียมที่เราเคยโดนเก็บเพิ่มตอนที่จองกับที่อื่นก็ไม่เกิดขึ้นอีก แถมจ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ไม่มี Fee อะไรทั้งนั้น เริ่ดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
จองโรงแรมและที่พักในปูซานกับ Traveloka คลิกที่นี่
นอกจากจะราคาเป็นกันเองจนงงเมื่อเทียบกับโลเคชั่น จากรูปห้องพักดูสะอาด กว้างขวาง ใกล้มินิมาร์ทแค่เดินข้ามถนน มีลิฟท์โดยสาร แถมฟีดแบ็กจากคนที่เคยได้พักมาแล้วทุกคนก็ล้วนประทับใจทั้งนั้น ซึ่งนั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เรากดจองค่ะ
พอมาถึง ได้เห็นสถานที่จริง ก็แอบชมเชยอยู่ในใจว่าตรงปกเป๊ะทุกดีเทลที่บอกมา ไม่ว่าจะเป็นส่วนของล็อบบี้ที่เต็มไปด้วย information ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราควรรู้ สตาฟก็น่ารักพูดอังกฤษได้คล่อง ถัดมาคือส่วนกลางที่ทางโฮสเทลจัดไว้ให้แขกผู้มาเข้ามาพักได้ใช้ร่วมกัน ตั้งแต่ครัว, ตู้เย็น, ตู้กดน้ำ ไปจนถึงโซนทานอาหารและโซฟาให้นั่งพักผ่อน ที่สำคัญโฮสเทลนี้มีบริการอาหารเช้าให้เราฟรีตลอดทั้งทริปค่ะ
เช็คอินเสร็จก็ถึงเวลาชมห้อง ระหว่างที่เดินจากลิฟท์มาถึงห้องพักเราสัมผัสได้ว่าพื้นของโฮสเทลนั้นปูด้วยพรมสีเข้ม แต่งบรรยากาศให้โคซี่ด้วยไฟส้ม และถึงแม้จะได้พักที่ชั้น 2 ก็รู้สึกได้ว่าเงียบสงบไร้เสียงรบกวนรอบนอก ด้านตัวห้องก็สะอาด กว้างขวางพอดีกับสมาชิกที่มากัน 3 คนแบบเรา ภายในแต่งด้วยโทนขาว-ดำ เตียงคู่ที่ถ้านอนกัน 4 คนก็คงไม่อึดอัด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็นอย่างโต๊ะ, ราวแขวนเสื้อ, ผ้าเช็ดตัว และไดร์เป่าผม ส่วนห้องน้ำก็น่าประทับใจไม่แพ้กันค่ะ เหตุผลก็เพราะนอกจากจะกว้างจนแบ่งสันปันส่วนแยกกันระหว่างห้องอาบน้ำกับห้องส้วม ข้าวของเครื่องใช้อย่างสบู่เหลว, แชมพู รวมถึงครีมนวด ก็พร้อมสรรพจนไม่ต้องควักเอาของตัวเองมาใช้เลย
อ้อ! แต่ที่นี่มีกฏให้แขกผู้เข้าพักต้องเคารพและทำตามร่วมกันนะคะ นั่นก็คือที่นี่ไม่อนุญาตให้นำอาหารขึ้นไปทานบนห้อง ถ้าจะทานก็มานั่งทานข้างล่างที่ทางโฮสเทลเขาจัดสรรพื้นที่ไว้ให้ ซึ่งนี่ก็ทำให้เข้าใจแล้วแหละว่าทำไมโฮสเทลถึงได้สะอาดและในห้องก็ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เลยแม้แต่นิดเดียว
ที่เล่ามาทั้งหมดคืออยากจะบอกคนที่กำลังจะไปเที่ยวปูซานว่า ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพักที่ไหน ลองเอา Canvas Hostel ไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกดูค่ะ พูดเลยว่าคุ้มจริง จากคนที่เคยไปพักที่นี่มาแล้ว
เมื่อได้ที่พักดีก็มีแรงเที่ยวต่อ…
เหมือนเป็นไฟต์บังคับเนอะว่าถ้าได้มาเที่ยวปูซานทั้งทีก็ต้องแวะชมอควาเรียมประจำเมืองนี้สิถึงจะเรียกได้ว่ามาถึงแล้ว อีกอย่าง SEA LIFE Busan Aquarium ยังอยู่ใกล้กับที่พักของเรามากแบบเดินถึง ทั้งรีวิวที่ผ่านมาก็มีแต่คนบอกว่าควรมาโดนแทบทั้งนั้น ไอ่เราเพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ควรที่จะเก็บแต้ม Tourist Spot สิถึงจะเป็นการทำความรู้จักเมืองนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง
สำหรับบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเราซื้อจากแอปพลิเคชัน Klook ค่ะ ค่าเข้าต่อคนก็ตกราวๆ 400 กว่าบาท ภายในมีหลายโซนให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอยู่เรื่อยๆ และก็มีหลายโซนที่ใครชอบถ่ายรูปก็น่าจะถูกใจสุดๆ อยู่เหมือนกัน
อย่างโซนที่เราชอบมากๆ ก็คืออุโมงค์ทางเดินใต้น้ำยาวเกือบ 100 เมตรที่เห็นฉลามและสัตว์น้ำชนิดต่างๆ แหวกว่ายผ่านเราไปมา ซึ่งก็ไม่พลาดที่เราแชะภาพคู่กับเจ้าฉลามลงไอจี เห็นแบบนี้กว่าจะได้ชอตดีๆ นี่รออยู่นานมากกกกก
เว็บไซต์: www.busanaquarium.com/en/
เยื้องๆ กับ SEA LIFE Busan Aquarium มีร้านที่สะดุดตาจนเราต้องข้ามเพื่อมาดูว่าข้างในจะมีอะไรให้เราได้เสียตังค์หรือเปล่า ซึ่งพอเปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกว่าถ้าใครที่เป็นชาวสตรีทมานี่ได้มีหมดตัวแน่นอน ด้วยในร้านได้ selected แบรนด์ต่างๆ อย่าง Nike, Vans, HUF, Stussy, Champion และ Dime ฯลฯ แถมถ้าช้อปปิ้งจนเหนื่อยในร้านยังมีโซนคาเฟ่ให้เราได้นั่งจิบกาแฟเอื่อยๆ ด้วย
เห็นว่า Kasina มีสาขาที่โซลด้วยใครที่ไม่ได้มานี่แต่มีทริปไปโซลปลายปีสามารถพุ่งตัวไปแถว กังนัมเลยจ้า อย่าพลาดๆ
เว็บไซต์: www.kasina.co.kr
ยังอยู่กันในฝั่งแฮอึนแด และ Rodeo Street เป็นจุดที่หลายคนแนะนำว่าควรมาเดินเล่นเปิดหูเปิดตา ทว่าเรามาที่นี่เพื่อหาของอร่อยใส่ท้องมากกว่าค่ะ ซึ่งก็เดินมาเรื่อยๆ จนมาเจอร้านที่คนออกันอยู่เพียบ บ่งบอกว่าถ้าไม่ทำอาหารช้าจนออเดอร์ล้นก็อร่อยจนหลายๆ คนยอมรอคิว
หลังจากที่ยืนงงอยู่พักนึงก็เห็นว่าคุณลุงชาวเกาหลีข้างๆ เราเดินเข้าไปแจ้งคนในร้านถึงจำนวนคนที่มาด้วยกัน เห็นอย่างนั้นเราเลยทำอย่างเขาบ้าง ซึ่งก็ได้เป็นบัตรคิวออกมาค่ะ ปัญหาต่อมาคือทางร้านประกาศคิวเป็นภาษาเกาหลี เราที่ฟังไม่ออกเขียนเกาหลีไม่ได้ก็ได้แต่งงจนอนนี่ที่รอคิวด้วยกันบอกกับเราเป็นภาษาไทยว่าถึงคิวที่เท่าไหร่ สเต็ปต่อไปก็คือเงี่ยหูฟังให้ดีแล้วนับตามไปเรื่อยๆ จนถึงคิวตัวเอง!
เมนูโด่งดังจนออกรายการของร้านเห็นว่าเป็นปลาหมึกผัดเผ็ดที่เสิร์ฟมาเป็นหม้อ แต่เราเล็งเมนูที่ รวมทั้งหมูและทะเลมากกว่า (ค่าใช้จ่ายตกคนละ 11,000 วอน) รสชาติอร่อย ไม่ได้เผ็ดมาก ยิ่งได้กินคู่กับ ข้าวและสาหร่ายแห้งนะคุณเอ้ยยย อร่อยสมกับที่เปิดมานานตั้งแต่ปี 1972 เลยล่ะ
เว็บไซต์: www.gaemizib.kr
เราว่าที่นี่ให้ฟีลคล้ายๆ กับฮงแดแต่เดินง่ายกว่า มีแบรนด์ดังๆ ทั้งสตรีทแวร์, เครื่องสำอาง, แกดเจ็ต ไปจนถึงโลคอลแบรนด์เปิดเพียบ อีกทั้งร้านอาหาร ร้านขนม และคาเฟ่ก็มีเยอะจนเดินเข้าไม่หวาดไม่ไหว
แม้จะใช้เวลาเดินทางจากฝั่งที่พักของเราค่อนข้างมาก แต่ด้วยความที่อยากช้อปปิ้งและร้านที่นี่ค่อนข้างปิดไว (22:00 น.) ทำให้ทริปนี้เราเลยได้มาซ้ำที่นี่กันถึง 2 ครั้ง 2 คราวด้วยกัน เอาจริงๆ นะถ้าใครมาจะรู้ว่านัมโปไม่เคยพออออ
ร้านแซนด์วิชสไตล์ไต้หวันเปิดใหม่ในนัมโปที่ใครๆ เห็นแค่ตัวร้านก็อยากเข้าแล้ว ในร้านเห็นว่ามีที่นั่งทานชั้น 2 ด้วยนะ ไส้แซนด์วิชที่เลือกมาลองจะเป็นแฮมชีสราคาอยู่ที่ 1,900 วอน ความรู้สึกหลังชิมก็คือขนมปังนุ่ม ตัวไส้ก็อร่อยละมุนด้วยแฮมและชีสที่ประกบมากับครีมสดและไข่อีกที จนน้องที่มาด้วยบอกว่ารสเหมือนแซนด์วิชที่เคยกินตอนเด็กๆ อ่ะ...อร่อยอย่างนั้นเลย
ถ้าทริปนี้ขาดชานมไข่มุกไปมันก็ยังไงๆ อยู่ นอกจาก Gong Cha ที่คนแน่นอยู่ตลอดเวลา นัมโปก็ยังมีร้านชานมไข่มุกเจ้าใหม่ที่น่าลองอยู่ไม่น้อยค่ะ
Jenjudan เป็นร้านชานมไข่มุกจากไต้หวันที่มีรายการเครื่องดื่มให้เลือกอยู่หลายแก้ว ตั้งแต่ชานมแอดท็อปปิ้ง, ชาเขียว, ชาใส, ชาชีส และแน่นอนว่าคนอย่างเราต้องเลือกแก้วแนะนำอย่าง Brown Sugar Bubble Milk (4,800 วอน) มาลองกิน รสชาติก็อร่อยตามมาตรฐานค่ะ ไข่มุกอุ่นและหนึบดี ส่วนนมพอเขย่าเข้ากับน้ำตาลทรายแดงที่เคี่ยวมา รสเลยออกหวานหอมกำลังดี กินเพลินนนน
มื้อดึกในนัมโปก่อนกลับที่พักช่วงที่ร้านอื่นพากันปิดหนีเราหมด ในร้านมีขายอยู่ไม่กี่รายการแต่เท่าที่สั่งมาอย่างบิบิมบับ คิมบับ และเกี๊ยวนึ่งคืออร่อยทั้งหมด โดยเฉพาะกับบิบิมบับและเกี๊ยวนึ่งที่เรายกให้เป็น The Best ของทริปเลย ว่าแล้วก็อยากไปกินอีก!
ป.ล. ไปค้นมาเห็นว่าร้านเป็นแฟรนไชส์ที่ไม่ได้มีแค่ในปูซาน ใครที่อยากกินบ้างลองหาพิกัดกันดูนะคะ
เว็บไซต์: www.teacherkim.co.kr
เป็นอีกหาดที่คึกคักไม่แพ้กับหาดแฮอึนแดเลย และส่วนตัวคิดว่าถ้ามีโอกาสมาปูซานครั้งหน้าจะลองมาพักที่ฝั่งกวางอันลี (Gwangalli) ดู เพราะไม่ใช่แค่หาดที่ชิลล์ ละแวกนั้นยังมีร้านน่านั่งเพียบ โดยเฉพาะตามตรอกซอกซอยฝั่งตรงข้ามหาด ที่มีตั้งแต่คาเฟ่ขนาดกะทัดรัด, ร้านหมูย่างแต่งแบบดั้งเดิม ไปจนถึงร้านกินดื่มที่เปิดทำการในช่วงเย็นๆ
ในร้านเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิก เครื่องประดับ โปสการ์ด ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นงานฝีมือจาก หลายๆ ศิลปินที่ถ่ายทอดความเป็นปูซานออกมาในแบบของตน และที่น่ารักมากกว่านั้นก็คือที่ร้านจะมีโต๊ะ ศิลปะติดกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นสะพานสะพานกวางอันแดเคียวได้อย่างชัดเจน ลูกค้าจะมา วาดภาพหรือระบายสีก็แล้วแต่ตามใจ ซึ่งเราขอบายค่ะ เพราะวาดภาพได้ห่วยมาก 55555
เว็บไซต์: www.orangebada.com
เดินมาเรื่อยๆ จะเห็นคาเฟ่น่านั่งอยู่ตลอดทาง แต่ Haute พิเศษกว่าทุกร้านเพราะมีรูฟท็อปให้เราได้ดื่มด่ำกับหาดกวางอันลีได้อย่างเต็มที่
เอาจริงๆ คือทั้ง 3 ชั้นเปิด Open Air มองเห็นวิวหาดได้หมดแหละ แต่ชั้นดาดฟ้าจะ Vibe ดีที่สุด สำหรับกาแฟที่เราสั่งก็เป็นเมนูซิกเนเจอร์ Cafe Monster ของร้าน รสชาติก็กลมกล่อม ไม่มีรสเปรี้ยว ส่วนเค้กในตู้ก็มีอยู่หลายแบบ แต่ที่เข้ารอบก็คือ Choco Rasberry Tart และ Double Cheese Tart ค่ะ ซึ่งนอกจากหน้าตาจะดีงาม รสชาติก็อร่อยใช้ได้เลย ผ่านๆ
แม้จะเป็นวันสุดท้ายของทริป ก่อนกลับเราก็ขอไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน Busan Gamcheon Culture Village กันสักนิดสักหน่อยก็ยังดี ที่นี่เราคงไม่ต้องพูดเยอะเพราะใน Google มีข้อมูลจากเพื่อนๆ อยู่เพียบ
แต่สิ่งที่เราจะแนะนำได้ก็คือใครที่เดินทางมายังที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ขอให้เรียกแท็กซี่ค่ะ อย่าเดิน (แม้ในแอปฯ จะบอกว่าไม่ไกลก็ตาม) อีกอย่างคืออย่ามาในวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะนอกจากจะคนแน่นจนหาจุดถ่ายรูปยาก แถวที่ถ่ายรูปกับเจ้าชายน้อยยังยาวจนคุณอาจจะหงุดหงิดได้ บอกไว้เท่านี้จ้า จากคนที่มาที่นี่ในวันหยุด 555555
บรันช์ไทม์! ในบรรยากาศวิวหลักล้านแห่งหมู่บ้าน Busan Gamcheon Culture Village ที่นี่เสิร์ฟอาหารตะวันตกอย่าง Homemade Burger with Chips, Fish and Chips, Cream Pasta และ Hotdog เป็นต้น
ซึ่งมื้อนี้เราก็จัดมา 3 จานก็คือ Mashed Potato & Homemade Sausage, Tomato Pasta และเพื่อให้อิ่มท้องไปจนถึงสนามบินก็เลยสั่งเมนูข้าวหนึ่งเดียวของร้านอย่าง Bacon Vegetable Fried Rice มาเป็นจานปิดท้าย รสชาติก็ใช้ได้ค่ะ โดยเฉพาะข้าวผัดนี่ให้ 5 ดาวเลย อร่อยมาก!
ครบถ้วนกับพิกัดต่างๆ ที่เราตระเวนมาในปูซานกับช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน คนไหนที่ไปแต่โซลแล้ว ยังไม่ได้ลองชิมลางเที่ยวปูซานสักที เราหวังว่ารีวิวนี้จะทำให้เพื่อนๆ อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวเมืองนี้กันบ้างนะคะ ส่วนนี่ปูซานคราวหน้ามี 5 วันเป็นอย่างต่ำแน่นอน ชัวร์!