ภาพทุ่งนาสีเขียวในช่วงปลายฝนที่ทำให้เคลิ้มฝันอยากไปน่านดูสักครั้ง แต่เมื่อถามตัวเองกลับว่าเคยไปน่านมาหรือยัง กลับตอบไม่ได้? รู้ว่าตัวเองเคยไปแพร่ตอนเด็กๆ เพราะมีบ้านญาติอยู่ที่นั่น ยังคงมีภาพถ่ายเก่าๆ ที่ยืนอยู่ริมลำธารท่ามกลางสายหมอกแทนความทรงจำ แต่สำหรับน่านไม่มีความทรงจำเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะยังไม่เคยไป หรือไปตอนเด็กมากจนจำความอะไรไม่ได้แล้ว
โดยทริปนี้จะเป็นทริป 3 วัน 2 คืนที่ดูจะน้อยไปสักนิด โดยได้จองตั๋วเครื่องบินไปน่านผ่าน Traveloka จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีก เนื่องจาก จ.น่าน ไม่ได้เล็กอย่างที่เราคิด ไหนจะยังเชื่อมต่อไปยังจังหวัดข้างเคียงอย่างแพร่และพะเยาได้ ทริปนี้จึงเหมือนเป็นการสำรวจชิมลางเบาๆ เพราะเวลายังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่ใจหลงรักอยากกลับไปน่านอีกครั้งหนึ่ง ยังเสียดายที่ไม่มีโอกาสแวะไป อ.บ่อเกลือ ผ่านทางถนนลอยฟ้า 1081 (อ.สันติสุข – อ.บ่อเกลือ) ซึ่งเขาว่าเป็นเส้นทางขับรถที่วิวสวยมากๆ แห่งหนึ่ง
FD3554 DMK/NNT 0740/0845
สำหรับทริปนี้บินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยว ถึงสนามบินน่านแล้วติดต่อรับรถเช่าเดินทางสู่ อ.ปัว ผ่านเส้นทางหมายเลข 101 ระยะทางประมาณ 60 กม. ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง ออกจากสนามบินได้ประมาณ 20 กม. ก็จะพบ ‘หอศิลป์ริมน่าน (Nan Riverside Art Gallery)’ ได้แวะพักเที่ยวเล่นกันเป็นจุดแรก เป็นหอแสดงงานศิลปะของเอกชน ก่อตั้งและดำเนินการโดยศิลปินชาวน่าน ‘วินัย ปราบริปู’
เดินชมงานศิลปะสวยๆ รวมถึงภาพฝีพระหัตถ์ของพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จัดแสดงอยู่บริเวณชั้นบนของหอศิลป์ ชื่อภาพ’ตะโกน’ ซึ่งเป็นภาพพระอารมณ์ขัน เลียนแบบภาพ’กระซิบรักบันลือโลก ปู่ม่าน-ย่าม่าน’ ภาพวาดสัญลักษณ์ของเมืองน่าน
หอศิลป์ริมน่าน
เปิดบริการ : 09.00 – 17.00 น. ทุกวันพฤหัส – วันอังคาร
ปิดบริการ : วันพุธ
ค่าเข้าชม : คนละ 20 บาท
เดินทางต่อไปยัง อ.ปัว โดยมีเป้าหมายมื้อกลางวันที่ ‘ร้านฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ’ เส้นทางเลยเมืองปัวออกไปนิดนึง ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ถนนช่วงก่อนถึงร้านมีทางขึ้นเนินชันสั้นๆ และถนนแคบสักเล็กน้อย อาหารร้านนี้จะเน้นเมนูเห็ดในบรรยากาศร้านแบบเปิดโล่ง เผยให้เห็นวิวทุ่งนาสีเขียวเบื้องล่างในมุมกว้าง
บอกตัวเองเบาๆ เพราะภาพทุ่งนาสีเขียวแบบนี้สินะ ที่ทำให้ดั้นด้นมายืนอยู่ตรงนี้ ในวันนี้ :)
เมนูแนะนำของร้านนี้คือพิซซ่าเห็ด 140 บาท
และขอลองยำเห็ดใส่น้ำปู๋ 80 บาท รสชาติอร่อยเข้มข้น
นั่งได้สักพักฝนเริ่มลงพรำๆ บรรยากาศช่างน่านั่งพักผ่อนกับเครื่องดื่มดีๆ เต็มอิ่มกับบรรยากาศไปเรื่อยๆ แต่บ่ายคล้อยแล้วยังไปไม่ถึงไหนก็คงต้องลุยฝนกันต่อไป
จากร้านอาหารฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ สามารถเดินไปยัง ‘วังศิลาแลง’ ได้ แต่ด้วยสภาพอากาศไม่เป็นใจ และถ้าขับรถไปจะมีทางที่ใกล้กว่า (ไปตามทางที่มีป้ายบอกว่าไปฝายแก้ง) เลยตัดสินใจขับรถไปแทนการเดินเท้า
ถึงฝายแก้งจะมีทางเดินเลียบลำธารไปยังวังศิลาแลง ซึ่งเป็นลักษณะของลำธารไหลผ่านซอกหินผาจนได้รับขนานนามว่าเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองปัว แต่เนื่องจากสภาพทางเดินเป็นดิน ต้องผ่านป่าและเป็นเนินขึ้น-ลง ไหนฝนจะเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น สุดท้ายก็เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านในค่ะ (อีกเหตุผลคือช่วงฤดูฝนน้ำจะค่อนข้างขุ่นด้วยค่ะ) ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพประกอบเพราะฝนตก
จากวังศิลาแลงย้อนกลับไปทางเมืองปัวเพื่อแวะนั่งเล่นที่ ‘ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ ลำดวนทอผ้า’ ที่นี่เป็นร้านกาแฟที่มีวิวทุ่งนาสวยมากๆ เดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่ นอนพัก-นอนกลิ้งอยู่บนเพิง หลบไอร้อนใต้หลังคามุงจาก (ฝนลงอยู่แปปๆ พอมาถึงที่นี่ฟ้าใสแดดร้อนมาก) ... ความเรียบง่ายที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย พักผ่อนไปตามทางได้เรื่อยๆ มีความสุขกับเรื่องราวระหว่างทางไปตามประสา
ก่อนจะอำลาที่นี่ เลยได้ ‘ผ้ามัดย้อม’ เป็นของฝากติดมือกลับบ้าน ด้านหน้าร้านกาแฟจะมีร้านขายผ้าไทยขนาดใหญ่ มีให้เลือกเยอะจนยังดูได้ไม่ทั่ว มีทั้งผ้ามัดย้อม ผ้าถุงไทย ผ้าซิ่น ฯลฯ ถ้าไม่ติดเรื่องเวลาเพราะไม่อยากถึงที่พักตอนมืดมากนัก คงได้เสียเงินเพิ่มอีก
เย็นย่ำแล้วจึงเดินทางต่อไปยังที่พักคืนนี้ ‘ตูบนาโฮมสเตย์’ ต้องบอกว่าตัดสินใจจองที่นี่ตั้งแต่แรกเห็นภาพ แต่วันที่ตั้งใจมาจริงๆ ห้องพักไม่ว่าง ยังยอมเลื่อนวันเดินทางเพื่อมาที่นี่จริงๆ และไม่ผิดหวังเลยค่ะ
สำหรับที่พักน่านคืนแรกนี้จองตรงผ่านทางเพจของที่พักและต้องโอนเงินล่วงหน้ามาก่อน
โฮมสเตย์ – คำนี้ไม่ผิดความหมายเลย ด้วยความเป็นที่พักที่บริหารกันเองในครอบครัว ระหว่างแวะพักทานมื้อกลางวันก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาเป็นภาษาท้องถิ่น ถามไถ่ด้วยความสุภาพว่าเดินทางถึงไหนแล้ว มาถูกหรือไม่? รู้สึกอุ่นใจตั้งแต่ยังมาไม่ถึง การต้อนรับอาจจะดูง่ายๆ แต่เป็นกันเอง ซึ่งไปถึงตอนช่วงฝนกำลังลง แต่นับเป็นความโชคดีที่บ้านพักมีที่จอดรถเฉพาะอยู่ด้านข้างบ้าน เลยไม่ต้องเปียกปอนมากนัก
บ้านพักหลังเล็กๆ แต่วิวระเบียงหน้าบ้านได้อย่างที่ใจคาดหวัง ทุ่งนาข้าวเขียวขจีกำลังเริงร่าหยอกล้อกับสายฝนที่กำลังโปรยปราย มีความสุขกับการใช้ชีวิตนั่งนิ่งๆ อยู่ระเบียงหน้าบ้าน มองสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย นึกแล้วก็ขำตัวเอง ถ้าเจอสภาพอากาศแบบนี้ในเมืองกรุงคงทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ... แต่ที่นี่กลิ่นฝนและไอดินทำให้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไป
เย็นย่ำก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า เมื่อฟ้าเริ่มเป็นใจ ฝนเริ่มทิ้งช่วง จึงได้มีโอกาสออกไปเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่ ใกล้ชิดกับทุ่งนาข้าวหลังอาบน้ำฝน รู้สึกสดชื่นกับบรรยากาศรอบตัวอย่างบอกไม่ถูก
หากสีเขียวแทนความหมายถึงความมีชีวิตของธรรมชาติ ... พลังแห่งชีวิตนั้นคงได้เผื่อแผ่ให้กับผู้มาเยือนอย่างเราด้วยเช่นกัน :)
ก่อนจะมืดค่ำ อาหารเมืองสำรับใหญ่แบบ’ขันโตก’ ถูกยกมาวางถึงหน้าห้องพักเป็นมื้อเย็นสำหรับวันนี้ ด้วยเพราะรอบๆ ที่พักไม่มีร้านอาหารใดๆ และที่พักไม่ได้อยู่ใกล้เมืองปัวมากนัก จึงสั่งอาหารเย็นจากทางที่พักในราคาคนละ 200 บาท ซึ่งดีกว่าที่คาดคิดไว้มาก และอิ่มอร่อยกับมื้อนี้จริงๆ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทานแบบครบชุดเซ็ทใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเมนูอะไรให้วุ่นวายมากมายด้วย
เป้าหมายคืนนี้คือออกไปถ่ายภาพดาว ตั้งใจจะไปถ่ายภาพทางช้างเผือกสักครั้ง แต่ด้วยความที่สภาพอากาศฝนตกและมีเมฆหนา เลยไม่สามารถจะเห็นได้ชัด แต่ยังพอได้ภาพดาวพร่างพราวทั่วฟ้ามาอย่างที่ตั้งใจ ให้ได้นอนหลับฝันดีใต้แสงดวงดาว
เช้าวันถัดมาออกมาเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่อีกครั้ง เพื่อชมหมอกยามเช้าคลอเคลียเหนือยอดเขาสูง ผ้าไทยที่ซื้อเก็บไว้แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใส่จึงถูกเตรียมมาเพื่อการนี้ ใส่ผ้าถุงเดินเล่นอยู่กลางทุ่งนา จะขาดก็แต่เสื้อคอกระเช้า ... แหม นี่ถ้ามีน้องควายมาเข้าฉากเป็นเพื่อนอีกสักตัว คงได้บรรยากาศสุดๆ เลย :)
ก่อนจะทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่นี่เขาให้ทอดไข่ทานเอง ไม่มีใครมาคอยบริการแต่ทำไมรู้สึกสนุกดีจัง บอกเลยว่าอยู่บ้านยังไม่เคยใส่ผ้าถุงเข้าครัว แต่ที่นี่ไม่ได้มีแค่วิวสวยๆ กลับทำให้รู้สึกว่าย้อนไปสู่อดีตกับชีวิตที่เรียบง่ายไม่วุ่นวาย ... เมนูง่ายๆ ชุดสบายๆ ทำตัวสบายๆ วิวธรรมชาติสวยๆ
สายแล้วจึงออกเดินทางกันต่อ โดยมีเป้าหมายที่ ‘วัดภูเก็ต’ เพื่อแวะชมวิวสวยๆ ในมุมสูง ลองโฮมสเตย์มาแล้ว แต่ที่วัดนี้เขามีห้องพักบริการด้วยนะเออ เผื่อใครอยากลองพักที่วัดดูบ้าง ราคาไม่แพงด้วยค่ะ
อากาศร้อนผิดจากวันก่อน เลยได้แวะไปนั่งเล่นหาเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ ‘ตูบนากาแฟ’ ร้านกาแฟริมทุ่งนา ร้านอยู่ติดกับทางขึ้นวัดภูเก็ต ที่นี่มีเช่าชุดไทลื้อให้ใส่ถ่ายภาพด้วยค่ะ
เดินทางกลับเข้าตัวเมืองน่าน แวะหามื้อกลางวันทานที่ร้าน ‘ก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน’ เมนูกระดูกรวม เป็นอีกร้านที่ถูกใจเพราะให้เครื่องมาเยอะเต็มชามดี
บ่ายแล้วแวะเช็คอินเข้าที่พัก ซึ่งคืนที่ 2 นี้จะพักกันในเมืองค่ะ ชื่อโรงแรม ‘น่านนครา บูติก’ ทำเลที่พักถึงจะอยู่ในซอยเล็กๆ แต่พิกัดดีมาก เพราะห่างจากวัดภูมินทร์เพียงไม่กี่ก้าวและใกล้กับข่วงเมือง ซึ่งเขาจะจัดถนนคนเดิน กาดข่วงเมืองน่าน ทุกๆ เย็นวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เป็นอีก 1 โปรแกรมที่พลาดเพราะไปไม่ตรงวัน T.T
สำหรับที่พักน่านคืนที่ 2 เราจองผ่านทาง ‘Traveloka’ อ่านเจอโปรโมชั่นใช้โค้ด ‘TripThai’ จองที่พักในเมืองไทย เพื่อรับส่วนลดพิเศษ ซึ่งได้ลองเทียบกับเว็บอื่นๆ แล้ว หรือแม้แต่ติดต่อจองตรงกับทางที่พักเอง Traveloka ก็ยังถูกกว่ามาก แถมขั้นตอนการจองก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพียงแค่อย่าลืมใส่โค้ดเท่านั้นเอง
++ ถูกใจกับโปรโมชั่นนี้จนต้องแชร์และประกาศบอกในเพจ ++
ชำระเงินเรียบร้อย Hotel Voucher และใบเสร็จรับเงินส่งตรงทางอีเมลเป็นหลักฐานยืนยันการจอง
ห้องพักที่น่านนครากว้างขวางมาก แยกเป็นส่วนห้องนั่งเล่นและห้องนอน ตกแต่งด้วยโทนสีขาว ตัวโรงแรมเป็นอาคาร 2 ชั้น ไม่มีลิฟต์ ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ ในตัวเมืองน่าน สามารถเดินไปได้หรือจะขี่จักรยานไปก็ได้ค่ะ ทางที่พักมีให้บริการ
เช็คราคาและจองที่พักน่านนครา บูติก ที่ Traveloka คลิกที่นี่
- วัดภูมินทร์ >> ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ‘กระซิบรักบันลือโลก ปู่ม่าน-ย่าม่าน’ อายุมากกว่า 100 ปี สัญลักษณ์ของ จ.น่าน
- ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จ.น่าน >> นอกจากข้อมูลข่าวสารแหล่งท่องเที่ยวของ จ.น่าน ก็ยังมีรถรางบริการพาเที่ยวชมเมืองตามรอบเวลา ในราคาคนละ 30 บาท
- ข่วงเมือง >> ถนนคนเดิน กาดข่วงเมืองน่าน ทุกๆ วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์
- ซุ้มลีลาวดี พิพิธภัณฑ์สถานจังหวัดน่าน
- วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ชมเจดีย์ทรงลังกา เอกลักษณ์ศิลปะสุโขทัย
- วัดมิ่งเมือง (ศาลหลักเมือง)
++ วัดภูมินทร์ ++
‘ปู่ม่าน-ย่าม่าน’ กระซิบรักบันลือโลก ...
“ความรักของพี่นี้ จะฝากไว้ในน้ำก็กลัวน้องจะหนาว จะฝากไว้บนอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกจะบดบังความรักของพี่เสีย หากจะฝากน้องไว้ในคุ้มในข่วง ก็กลัวเจ้าเมืองมาเจอ จะแย่งน้องของพี่ไป จึงฝากไว้ในอกในใจของชายพี่นี้ ให้มันร่ำร้องลำพี้ลำพัน อาลัยหายามหลับ แลสะดุ้งตื่นก็ไม่หายคิดถึง”
++ รถราง พาเที่ยวชมเมืองน่าน ++
++ ซุ้มลีลาวดี ++
++ วัดมิ่งเมือง ++
แดดร่มลมตก ขับรถออกนอกเมืองน่านไปสักนิดหนึ่ง ยัง ‘วัดพระธาตุเขาน้อย’ เพื่อชมวิว จ.น่าน ในมุมสูงค่ะ ช่วงเย็นๆ เริ่มเห็นแสงไฟ บรรยากาศน่าจะสวยงามไปอีกแบบ แต่เคยเห็นภาพยามเช้าที่เขาถ่ายตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นก็สวยงามเช่นกัน
มื้อเย็นแวะทานที่ ‘ร้านเฮือนฮอม’ ไม่ไกลจากที่พักเช่นกันค่ะ บอกแล้วที่พักนี้พิกัดดีจริงๆ ... ร้านนี้เขาดังเรื่องอาหารพื้นเมือง
เช้าวันสุดท้าย ออกไปเดินเล่นหามื้อเช้าทานกันที่ ‘ตลาดจิตนุสรณ์’ ในห้องพักเขามีหนังสือนำเที่ยว จ.น่าน วางไว้ให้ เลยได้อ่านก่อนนอน หาที่แวะเที่ยวเล่นก่อนขึ้นเครื่องกลับในช่วงบ่าย
ไข่ลวก กาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับมื้อเช้าแบบง่ายๆ ค่ะ ... ชอบอารมณ์เดินเล่นตลาดตามต่างจังหวัดแบบนี้ ได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ชิมของอร่อย
ส่งท้ายในตัวเมืองน่านด้วยขนมหวานร้านดัง ‘ขนมหวานป้านิ่ม’ ด้วยเมนูบัวลอยไข่ใส่ไอศกรีม พิกัดหัวมุมสี่แยกวัดศรีพันต้น เป็นเรือนไทยสไตล์ล้านนา แต่ตอนที่ไปทางร้านติดป้ายว่ากำลังจะย้ายไปที่ใหม่ค่ะ ที่บ้านมงคลนิมิตร์ ใกล้ๆ สนามกีฬา
คืนรถเช่าแล้ว บินกลับด้วยเที่ยวบิน FD3557 NNT/DMK 1600/1705
เดี๋ยวนี้น่านเดินทางได้สะดวกสบายด้วยเที่ยวบินตรง ใช้เวลาเดินทางเพียง 1.05 ชม.
เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินกรุงเทพฯ-น่าน ที่ Traveloka คลิกที่นี่
รีวิวนี้อาจจะแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของอำเภอปัวและเมืองน่าน ซึ่งบอกเลยว่ายังไม่พอ อยากกลับไปอีกสักครั้ง ... ที่นี่เราหลงเสน่ห์ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สบายๆ ความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย
บอกแล้วนะ
น่าน ... ไง :)