ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสชั่วโมงนี้ไม่มีประเทศอะไรจะมาแรงไปมากกว่า “จอร์เจีย” อีกแล้ว เพราะจอร์เจีย เป็นประเทศฟรีวีซ่าที่คนไทยสามารถเดินทางไปเที่ยวได้แบบง่ายมาก ไม่ต้องเสียเวลาทำวีซ่าแต่อย่างใด ความโดดเด่นก็คือจอร์เจีย ถึงแม้จะเป็นประเทศที่อยู่ภายในทวีปเอเชีย แต่ก็ได้กลิ่นอายของยุโรปมาอย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งยังมีวิวเทือกเขาคอเคซัสสวยๆ ให้ได้ชมกัน ที่สำคัญคือค่าครองชีพนั้นถูก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้นจึงไม่แปลกนัก ถ้าจะบอกว่าจอร์เจียคือประเทศที่สวยดังกับยุโรป แต่ใช้งบเหมือนไปเที่ยวเอเชีย
ก่อนจะออกเดินทาง อย่าลืมมาตรวจสอบมาตรการของแต่ละสนามบินที่นี่ก่อนนะ
ในตอนนี้ยังไม่มีเที่ยวบินตรงจากไทยไปจอร์เจีย แต่ก็มีหลายสายการบินที่ให้บริการ แต่อาจจะต้องต่อเที่ยวบิน ซึ่งก็สามารถเลือกจองตั๋วเครื่องบินไปจอร์เจียได้ง่ายๆ กับ Traveloka ที่เราเลือกใช้บริการทราเวโลก้า เพราะจองง่าย แถมยังไม่มีค่าธรรมเนียม เมื่อจ่ายเงินผ่านการโอนเข้าบัญชี ทริปนี้ก็เลยได้ทราเวลโลก้าเป็นตัวช่วยไปแบบเต็มๆ ที่จะช่วยทำให้ทริปจอร์เจียง่ายขึ้นเยอะเลย
แถมตอนนี้ Traveloka ยังมีฟีเจอร์ใหม่ Promo Filter ที่ทำให้การหาตั๋วโปรง่ายเพียงแค่คลิกเดียว เพียงแค่เข้าแอปพลิเคชั่น Traveloka กดค้นหาเที่ยวบินที่ต้องการ แล้วสังเกตที่แถบด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหาเที่ยวบิน ก็จะเห็นโปรโมชั่นทั้งหมดที่มีในขณะนั้นบนแถบ Promo Filter และสามารถคลิกเลือกโปรโมชั่นที่ต้องการได้เลย เรียกได้ว่าสะดวกสบายสุดๆ
สำหรับใครที่บินมาลงเมืองหลวงขอจอร์เจีย ก็คือ ทบิลิซี (Tbilisi) ใครที่อยากมาเริ่มจากการเที่ยวเมืองหลวงก่อน ก็จองตั๋วเครื่องบินไปจอร์เจียมาลงที่ ท่าอากาศยานทบิลิซี (Tbilisi International Airport) ได้เลย โดยเวลาที่ใช้บินก็ชิลล์ๆ ประมาณ 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไป แล้วแต่สายการบิน การเดินทางภายในประเทศ ใครสะดวกจะใช้รถสาธารณะก็ได้ ก็จะมีรถไฟใต้ดิน และรถบัส แต่สำหรับทริปจอร์เจียของเรา เลือกที่จะเป็น Road Trip ขับรถเอง สบายใจมากกว่า
หลังจากได้รถที่เช่าขับไว้ โดยที่นัดรับรถที่สนามบิน ก็เดินทางมายังที่เที่ยวจอร์เจีย แห่งแรกของเราในทริปนี้ นั่นก็คือ “Holy Trinity Cathedral of Tbilisi” ที่อยู่ใกล้สนามบินมาก ขับรถมาแปปเดียวก็ถึงแล้ว สำหรับที่เที่ยวแห่งนี้ก็เป็นโบสถ์ที่ถือว่าเป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดในจอร์เจีย เป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามมาก เป็นของคริสจักรออกโธด็อกซ์ ไม่ได้มีความเก่ามากเท่าไหร่ เพราะเพิ่งสร้างขึ้นมาไม่นาน ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1995 - 2004 คนทั่วไปจะเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่า Sameba
มาต่อกันที่เที่ยวจอร์เจียแห่งถัดไป ที่อยู่ไม่ไกลจากโบสถ์แห่งแรกมากนัก เพราะไหนๆ เที่ยวแล้วก็อย่าได้ต้องเสียเที่ยว เช่ารถขับมาทั้งทีก็ต้องแวะเที่ยวจอร์เจียให้คุ้มกันสักหน่อย ด้วยป้อมปราการแห่งนี้ ก็เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองทบิลิซี ตั้งอยู่บนเนินเขา เก่าแก่ด้วยอายุมากกว่าพันปี ใครมาเที่ยวที่จอร์เจีย แนะนำว่าปักหมุดไว้ด่วน เพราะขึ้นไปเห็นวิวสวยมาก
โดยป้อมปราการนี้ไฮไลท์จะอยู่ที่สามารถขึ้นมาได้ 2 แบบด้วยกัน สำหรับคนที่อยากเดินออกกำลังกาย ก็สามารถเดินขึ้นมาได้ โดยไม่เสียค่าเข้าชมอะไรใดๆ หรือถ้าใครอยากชมวิวอันสวยงามของเมือง แนะนำให้นั่งรถรางแบบชมวิว ที่จะเสียค่าเข้าประมาณ 2.5 ลารี ป้อมปราการนี้ใครสะดวกเวลาไหน ก็มาเที่ยวได้ตลอด เพราะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง
หลังจากที่ตื่นนอนพักเอาแรงกันเต็มอิ่ม ด้วยความที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางอย่างยาวนาน วันนี้เลยตัดสินใจกันว่าจะขับรถเที่ยวให้ทั่วเมืองหลวงทลิบิซีกันไปเลย โดยที่เที่ยวจอร์เจียแห่งแรกของวันนี้ก็คือ Bridge of Peace หรือว่าสะพานสันติภาพ ที่มีดีไซน์สุดล้ำ ใครบอกว่าที่จอร์เจียนั้นจะมีแต่โซนเมืองเก่า และธรรมชาติเพียงแค่อย่างเดียว สำหรับเรื่องดีไซน์สุดล้ำสมัย ก็ไม่น้อยหน้าเช่นเดียวกัน
โดยสะพานสันติภาพแห่งนี้ถูกสร้าง และออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี เพื่อใช้เป็นสะพานสำหรับการเชื่อมโซนเมืองเก่า เข้ากับโซนเมืองใหม่ ก่อให้เกิดเป็นสะพานรูปร่างหน้าตาล้ำสมัย เอาเป็นว่าใครที่ไปเที่ยวจอร์เจีย ก็อย่าลืมแวะไปถ่ายรูป หรือเดินเล่นบนสะพานเพื่อชมวิวสวยๆ
ด้วยความที่มาเที่ยวจอร์เจียทั้งที ก็อยากจะศึกษา และค้นคว้าข้อมูลให้รู้จักกับประเทศจอร์เจียมากยิ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจมุ่งหน้ามาเช็คอินกับที่เที่ยวจอร์เจียแห่งต่อไป นั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจอร์เจีย” อันเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวของประวัติศาสตร์จอร์เจีย มีทั้งซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ เรื่องราวทางโบราณคดี ตัวอย่างโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คุ้มค่าแก่การมาเยือน หากใครที่อยากมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์นี้ สามารถมาได้ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 10.00-18.00 น.
หลังจากที่ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จเรียบร้อย ทางเราก็อยากจะซึมซับความเป็นเมืองหลวงของทบิลิซีกันสักหน่อย เลยเลือกที่จะมาเดินเล่นที่ Shota Rustaveli Avenue สำหรับถนนเส้นนี้ ถือว่าเป็นย่านใจกลางเมืองของทลิบิซี โดดเด่นไปด้วยร้านค้ามากมาย เหมาะกับคนที่อยากมาช้อปปิ้ง หรือว่าเดินเล่น เพราะถนนแห่งนี้ถือว่าเป็นถนนที่สวยมากที่สุดของจอร์เจียเลยทีเดียว เรียงรายไปด้วยตึกอาคารเก่าสวยๆ ใครชอบงานสถาปัตยกรรม แนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะมาเดินเล่นที่ถนนแห่งนี้เลย
ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า แล้วเราจะจบทริปของวันนี้ลงในค่ำคืนนี้ ตัดสินใจขับรถไปเที่ยววิหารซีโอนีกัน เพราะเห็นจากในรูปแล้ว ทุกคนก็เป็นอันตกลงว่าเราจะไปดูความงดงามของสถาปัตยกรรมที่วิหารแห่งนี้กัน สำหรับความโดดเด่นของวิหารแห่งนี้ คือเป็นวิหารที่มีความเก่าแก่มากๆ ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 6-7 กันเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ได้ถูกทำลายลงเพราะว่ามีผู้ที่มาบุกรุกเมือง แต่ตอนหลังก็ได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
โดยโบสถ์แห่งนี้แน่นอนว่าจะต้องเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายจอร์เจียนออร์โธดอกซ์อันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชื่อวิหารแห่งนี้ ก็ได้ถูกตั้งชื่อตามภูเขาไซออน ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม เพื่อเป็นเกียรติ และรำลึกถึงนักบุญนีโน่
ปิดท้ายค่ำคืนที่สองอย่างจริงจัง ด้วยการออกไปเดินเล่น หาอะไรกิน พร้อมกับดื่มนิดหน่อยที่บริเวณถนนโคติ แอบคาซี (Kote Abkhazi Street) เพราะโดยรอบถนนนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์มากมาย มีให้เลือกเยอะมากแล้วแต่สะดวก ที่สำคัญยังได้ชมวิวเมืองทบิลิซีสวยๆ ในยามค่ำคืนอีกด้วย เพราะถนนแห่งนี้ได้เชื่อมระหว่างอนุสาวรีย์ และย่านจตุรัสโมดานีเอาไว้ด้วย หากใครที่มาเที่ยวในเมืองทบิลิซี แล้วอยากที่นั่งชิลล์ในช่วงกลางคืน แนะนำให้มาเดินเล่น และดินเนอร์แถวนี้เลย
เป็นจุดเช็คอินของจอร์เจียที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในตัวเมืองหลวงทบิลิซีเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าไม่ควรพลาด เพราะเป็นแลนด์มาร์คที่หลายคนแนะนำ ให้ขับรถมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางหลวงจอร์เจียนมิลิทารีไฮเวย์ (Georgian Military Highway) โดยป้อมปราการนี้ ก็เป็นป้อมปราการอันเก่าแก่ และถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วย ความโดดเด่นก็คือความอลังการของป้อมปราการ และวิวสวยๆ ของแม่น้ำอารักวี เพราะว่าป้อมปราการนี้ได้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนั่นเอง
ป้อมอัมนานูรี เป็นป้อมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 16-17 เป็นป้อมที่เก่าแก่ สวยงามทั้งสถาปัตยกรรมด้านนอก และด้านใน หากใครที่อยากชมวิวสวยๆ ของป้อม แนะนำให้เดินขึ้นไปบนเนินเขา หรือหากใครที่อยากอิ่มเอมใจไปกับงานศิลปะอันงดงาม และทรงคุณค่า แนะนำให้ใช้เวลากับด้านในของป้อมปราการ
ถัดจากการชมป้อมปราการอัมนานูรีเรียบร้อย เราก็ขับรถไปตามทางขึ้นเขาคอเคซัสสวยๆ มุ่งหน้าไปเที่ยวที่เมืองกุเดารี (Gudari) ไปยังที่เที่ยวจอร์เจียถัดไป นั่นก็คือ Russian Georgian friendship monument เป็นอนุสรณ์สถานที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นสถาปัตยกรรมอันใหญ่โตอลังการ ความดีงามก็คือฉากหลังเป็นภูเขาขนาดใหญ่ ที่ทำให้เราใจเต้นด้วยความระทึกใจอยู่ไม่น้อย ที่ได้เห็นวิวสวยอลังการเหมือนอยู่ยุโรป แต่มีค่าครองชีพที่ค่อนข้างถูก
ใครที่อยากได้รูปสวยๆ แนะนำว่าให้ลองมาที่จุดเช็คอินแห่งนี้ด้วย เอาจริงแค่เห็นวิวเทือกเขาสลับซับซ้อนก็ฟินอย่าบอกใครแล้ว หลังจากถ่ายรูป และชมความงดงามของอนุสาวรีย์นี้แล้ว ก็ไม่รอช้า เราก็ขับรถไปต่อกับเมืองถัดไป เมืองคาซเบกิ (Kazebegi) โดยใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือสี่สิบนาที ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเมืองนี้แล้ว หลังจากที่มาถึงเมืองนี้ก็จวนพลบค่ำพอดี เลยตัดสินใจเข้าที่พัก แล้วค่อยออกมาตะลุยต่อในวันพรุ่งนี้
โบสถ์โบสถ์สมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba Church) ถือว่าเป็นจุดเช็คอินแห่งสำคัญที่เราตัดสินใจเดินทางมายังประเทศจอร์เจีย และมุ่งมานะขับรถมาเที่ยวที่เมืองคาซเบกิแห่งนี้ เพราะเป็นโบสถ์ชื่อดังของจอร์เจีย ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาคอเคซัส เวลาที่มองไปยังโบสถ์นี้ ก็จะเห็นวิวเทือกเขาคอเคซัสตั้งตระหง่ายอยู่ด้านหลัง เกิดเป็นวิวที่งดงามยิ่งนัก
จุดเด่นของโบสถ์นี้คือถูกสร้างขึ้นด้วยการใช้หินแกรนิตขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงมากกว่า 2,000 เมตรด้วยกัน เหนือระดับน้ำทะเล ที่ถึงแม้จะใช้ความยากลำบากสักนิดหน่อยในการขึ้นไปชมความงามของโบสถ์นี้ แต่บอกเลยว่าคุ้มค่า ที่มาชมด้วยตาของตัวเองสักครั้ง
ปิดท้ายด้วยสถานที่เที่ยวจอร์เจียของทริปนี้เป็นแห่งสุดท้าย ก่อนที่เราจะขับรถกลับไปยังสนามบิน ก็ได้แวะเที่ยวอีกหนึ่งที่ก็คือ Jvari Monastery เป็นมหาวิหารจวารี โดดเด่นด้วยการได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ภายในเมือง เมืองมิสเคด้า (Mtskheta) ที่สามารถขับรถต่อไปยังสนามบินได้ สำหรับโบสถ์นี้ก็เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจอร์เจียเป็นอย่างมาก เพราะด้านในโบสถ์มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ ที่มีความเชื่อว่าเป็นของนักบุญนีโน่ ที่ได้นำศาสนานิกายออกโธด็อกซ์นี้มาเผยแพร่ในจอร์เจียนั่นเอง
โดยโบสถ์ทุกโบสถ์ของนิกายนี้ เวลาผู้หญิงที่เข้าไปในโบสถ์ นั้นจำเป็นจะต้องสวมผ้าคลุมผมด้วย แนะนำให้แต่งกายให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าไปในโบสถ์ หากใครที่มาเที่ยวจอร์เจียหน้าหนาว ก็อาจจะเห็นวิวสวยๆ ที่มีหิมะปกคลุม หรือถ้าใครไม่ชอบความหนาวเย็น มาหน้าร้อนก็ได้เช่นกัน อากาศก็จะเย็นสบายกำลังดี
ขอจบทริปจอร์เจียแบบ Road Trip เพียงเท่านี้ ด้วยการขับรถกลับไปยังสนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ บ้านเรา แนะนำว่าใครที่อยากเปิดประสบการณ์ใหม่ ให้ลองมาเที่ยวจอร์เจียดู เพราะเป็นประเทศที่เที่ยวไม่ยาก แค่มีพาสปอร์ตไทยก็สามารถมาเที่ยวที่ประเทศนี้ได้แล้ว ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้วีซ่าแต่อย่างใด เหมาะกับคนที่ไม่อยากทำวีซ่าให้วุ่นวาย เป็นประเทศฟรีวีซ่าที่อยากจะแนะนำอีกประเทศหนึ่ง