อินเดีย เริ่มต้นฟังชื่อประเทศนี้หลายหลายคนอาจจะร้องยี้ พร้อมเบะปากเบาเบา ทุกคนคงจินตนาการถึง กลิ่นเครื่องเทศ ความสกปรก กันดาร มากกว่าความศิวิไลย์ ฮัลโหล ถ้าคิดแบบนั้นเราอยากให้คุณลองอ่านบทความนี้ก่อน แล้วค่อยคิด ค่อยตัดสินอีกทีว่าอินเดียเป็นอย่างไร ?
ถ้าได้ยินชื่ออินเดียมาบ่อยๆ คงได้เคยได้ยินชื่อเลห์ ลาดักห์ ตามมาติดติด เลห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ เขตแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย อีกชื่อคือ ทิเบตน้อย (Little Tibet) สาเหตุที่เรียกทิเบตน้อยเพราะว่าที่นี่มีส่วนผสมของ วัฒนธรรมทิเบต อีกทั้งมีเชื้อชาติที่หลากหลาย ทั้งทิเบต แขกอินเดีย แขกขาวแบบปากีสถาน บางคนหน้าออกไปทางจีน หน้าตาคนที่นี่ไม่ค่อยเหมือนคนอินเดียในอุดมคติของคนไทยสักเท่าไหร่ เอาจริงผู้ชายแซ่บๆซ่อนอยู่ในดงแขกเยอะมากนะ ต้องคอยพินิจพิจารณา เลห์ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง12,000 ฟุต เพราะฉะนั้นอากาศจะบางมากาสำหรับพวก เส้นศูนย์สูตรแบบพวกเรา
ที่นี่เป็นเป้าหมายของหมู่มวลวัยรุ่นว่าเฮ้ย !! ต้องไปให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เป็น dream destination ที่แบบคูลมาก ต้องไปให้ได้ ก่อนไปเราก็คิดงี้แหละ พอไปเองแล้ว โอ้ยทำไมถ่ายรูปมาไม่สวยเท่าที่ตาเห็นสักที ทำไมมันสวยขนาดนี้ หลับตาไม่ได้เลย ถ้าชีวิตคือการตื่นเต้น เราท้าให้มาลองเลห์ ลาดักห์ มันมากกว่าความตื่นเต้นที่เจอมาทั้งชีวิตอีก แต่บอกได้ชัดชัดเลยว่า เอ้ยย ชาตินี้ต้องไป ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปหรือไม่ไป ลองชมภาพ 9 สถานที่ต้องห้ามพลาด เมื่อไปเยือนเลห์ ลาดักห์ เรามั่นใจว่าอ่านจบแล้ว เลห์ลาดักห์ต้องเพิ่มในลิส dream destination ของคุณอย่างแน่นอนค่ะ
( ภาพจากช่วงวันที่ 7 – 14 ตุลาคม 2017 )
ทะเลสาบปันกอง ทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตาแห่งหิมาลัย และเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ความสูง 4,350 เมตร น้ำทะเลสาบสีเทอคอยซ์ สีฟ้า สีน้ำเงิน กระจายเป็นเฉดสี ตามอุณหภูมิของแสงอาทิตย์ ในเวลานั้นๆ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงใหญ่ ตัดท้องฟ้าสีน้ำเงินตามแบบฉบับของเลห์
ที่นี่เรายกให้เป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดมากๆ แนะนำให้ไปค้างคืนที่นี่สักคืน จะได้เห็นน้ำในทะเลสาบครบทุกเฉดสี ตื่นเช้ามาค่อยๆจิบชา นอนดูแสงอาทิตย์ค่อยๆส่องภูเขา ใช่ชีวิตดื่มด่ำอย่างเต็มที่ สวยจนพูดไม่ออกเลย ( หนาวจนปากสั่น ฮ่า ๆ ) เราเดินทางช่วงตุลาคม เป็นช่วงต้นฤดูหนาว ที่พักส่วนใหญ่ปิดทำการแล้วจึงมีที่พักให้เลือกได้ไม่มาก
การเดินทางมาที่นี่ว่ายากแล้วแต่การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยากกว่ามาก อากาศที่นี่ตอนกลางคืนหนาวจนติดลบคาดว่า ประมาณ -15 องศา ในบรรยากาศที่ห้องพักไม่มีฮีตเตอร์ ไม่มีผ้าห่มไฟฟ้า ไม่มีน้ำอุ่น ไม่มีอะไรเลย เป็นความทรมารที่หนาวที่สุดในชีวิตเรา ( เคยเจออากาศหนาวกว่านี้นะ แต่ไม่มีที่ไหนที่ทำให้เรารู้สึกหนาวได้เท่าที่นี่) หนาวบาดเนี้อกันไปเลย
แต่ถึงจะหนาวมากๆ แต่ก็ทำให้เราพบเจอความสวยงามที่หาไม่ได้จากชีวิตประจำวัน หาเจอได้ที่นี่แหละ สุดท้าย เราขอสถาปนาให้ปันกอง คือทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าน้ำตาแห่งนักเดินทาง มาถึงที่นี่แล้วต้องหลั่งน้ำตาแห่งความหนาว และประทับใจออกมาแน่นอน
การเดินทาง : เดินทางจากเลห์ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง หรือเพื่อนๆจะจัดทริปเดินทางจาก Nubra Valley ก็ได้ค่ะ มีถนนตัดมาที่ pangong ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงเหมือนกันค่ะ
TIP : เนื่องจากอยู่บนที่สูงมาก อากาศก็บางมากๆ เดินทางมาที่นี่ควรเตรียมออกซิเจนกระป๋อง เครื่องกันหนาว และอาหารมาให้พร้อมค่ะ
( บรรยากาศตอนเช้าที่ pangong lake ถ้าไม่ค้างคืนที่นี่ไม่เจอบรรยากาศแบบนี้แน่นอน )
Tsomoriri Lake เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดของเราในทริปนี้ สูง 4,522 เมตร ( สูงกว่า pangong หน่อยนึง ) ที่ไม่ได้โด่งดังมากนักในเลห์ ถือเป็นตัวประกอบด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบ ทะเลสาบที่มีภูเขาที่นี่จึงเป็นเป้าหมาย ที่เราอยากไป พอไปแล้วเอ้ย!! จากบทตัวประกอบยกระดับมาเป็นบทพระเอกทันที ยิ่งเดินทางช่วงเดือนตุลาคมแบบเรา แล้วเจอบรรยากาศระหว่างทางเป็นสีทองหมดเลย ลองจินตนาการภาพ ฝูงแพะบนทุ่งหญ้าสีทอง ตัดกับทะเลสาบสีฟ้า น้ำเงิน มีประกายแดดระยิบระยับ ฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ และท้องฟ้าใสใสสีน้ำเงิน เอาจริงสวยมาก ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์ส่องภูเขาเป็นสีชมพูอมส้ม ฟ้าเป็นสีชมพู ให้บรรยากาศอบอุ่นที่ทำให้เราลืมไปเลยว่าที่นี่คืออินเดีย ลืมความหนาวเหน็บ ลืมกลิ่นแพะใต้เกสเฮาส์ ลืมอาหารกลิ่นกระหรี่ แล้วนั่งจิบชาชมวิวหลักล้านที่หาได้ยากอย่างมีความสุข
ถ้าเทียบความงาม ที่นี่เราว่าความสวยงามสูสีกับ pangong มากๆ ถ้าเทียบเรื่องความยิ่งใหญ่ทะเลาสาบปันกอง กว้างใหญ่กว่ามาก แต่เราว่าที่นี่เป็นความเล็กพริกขี้หนู เป็นความเล็กที่ครบเครื่อง เล็กกว่าแต่สงบกว่า ส่วนตัวเราชอบที่นี่ มากกว่า pangong ส่วนเพื่อนเราชอบที่ pangong มากกว่า สองที่นี่แย่งชิงตบตีการเป็นที่หนึ่งในแก๊งนักเดินทาง 12 คน แต่ยังไงก็เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ต้องเติมเข้าไปในแพลน ! ตัวประกอบ ไม่ได้เป็นตัวประกอบเสมอไปหรอก บางทีตัวประกอบอย่าง Tsomoriri อาจจะเป็นพระเอกสำหรับใครบางคน รวมทั้งเราเอง
การเดินทาง : ห่างจากเลห์ ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ( หรือจะเดินทางจาก pangong lake เลยก็ได้ค่ะ ถ้าร่างกายยังไหว ) บรรยากาศระว่างเดินทางสวยมาก เป็นระหว่างทางที่ลืมไม่ลงเลย เส้นทางนี้ห้ามหลับตา หลับเมื่อไหร่พลาดเมื่อนั้น
TIP : ช่วงหน้าหนาวที่นี่จะอุณภูมิ - 45 องศา ( แค่คิดก็ขนลุก ) ชาวบ้านจะย้ายไปพักที่เมืองเลห์ ถือเป็นช่วงฮอลิเดย์ของเค้า ใครจะเดินทางมาช่วงหน้าหนาวจะหาที่พักและอาหารยากสักหน่อย ขนาดเรามาช่วงต้นหน้าหนาวยังหาที่พักยากนิดหน่อย ออกซิเจน เครื่องหนาว และอาหาร ยังเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องเตรียมมาค่ะ และที่พลาดไม่ได้คือออกซิเจนกระป๋อง ปันกองว่าอากาศบางแล้วที่นี่บางกว่ามากค่ะ หนาวเหน็บและเหนื่อยหอบมาก เดินไปสักพักก็หน้าม่วงๆกันแล้ว หายใจไม่ทัน เตรียมไปไว้ก่อนเลยจ้า กันไว้ดีกว่าแก้
( การเรียงหินเป็นชั้นๆ เป็นความเชื่อของขาวบ้านเพื่อแสดงความเคารพต่อขุนเขา และขอให้เดินทางปลอดภัย )
( บรรยากาศตอนอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์ส่องฟ้าเป็นสีชมพู เปลี่ยนภูเขาเป็นสีชมพูอมส้ม )
Tsokar Lake ทะเลสาบสีขาว ตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะขาวจากหิมะ แต่ความจริงแล้วมันคือทะเลสาบเกลือ จากที่เราเคยเจอแค่นาเกลือ ไปเจอทะเลสาบเกลือนี่เป็นสิ่งเซอร์ไพรส์พอควร ที่นี่เป็นเเพียงพิกัดที่พวกเราแวะเพราะเป็นทางผ่าน ขากลับจาก Tsomoriri เป็นทะเลสาบที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่เป็นพิกัดที่เหนือความคาดหมายมากๆ ชอบที่สีขาวของเกลือตัดกับหญ้าสีทอง และภูเขาสะท้อนน้ำแบบนี้ รูปโปรไฟล์ใช้ได้เป็นปีเลยล่ะ
ระหว่างทางอาจสำคัญกว่าเป้าหมาย :) อย่าลืมใส่ใจกับระหว่างทางกันเนอ
TIP : เนื่องจากเป็นทะเลสาบเกลือ พื้นดินเลยมีความชื้นสูง รถติดหล่มได้ง่าย อย่าขับรถเข้าไปลึก ใช้การเดินเข้าไปแทนค่ะ พวกเราติดหล่มมาแล้ว เข็นกันสนุกเลย
ถ้าตอนเด็กๆอยากเป็นมิเชลล์ในฟ้าจรดทราย ที่นี่ทำให้ความฝันเป็นจริงแล้วล่ะ เข้าใจคำว่าฟ้าจรดทรายจริงๆ มันเป็นยังไง แถมยังมีน้องอูฐให้ขี่ จินตนาการเป็นชายาของท่านชีค เซลล์ฟี่กับอูฐจนเมมเต็ม เลห์ ลาดักห์ครั้งเดียว เที่ยวได้หลายประเทศจริงๆ Hunder sand dune ตั้งอยู่ในบริเวณของ Nubra Valley ( เป็นพื้นที่ที่อากาศอุ่นที่สุดในทริป หายใจได้เต็มปอดสุดก็ที่นี่แหละค่ะ)
กิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการขี่อูฐ เรามัวแต่ขี่อูฐเพลินๆเลยไม่ค่อยได้ถ่ายภาพสักเท่าไหร่ ตื่นเต้นอ่ะอยู่เมืองไทย เจอแต่หน้าหมา แมว มาเจอหน้าอูฐมันก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ อูฐจะมีให้เลือก 2 แพ็คเกจ 15 นาที ( 200 รูปี ) และแบบ 30 นาที ( 300 รูปี ) เป็นราคามาตรฐาน ไม่ต้องกลัวโดนหลอกค่ะ เราเลือกแบบ 30 นาที เราว่ากำลังดีไม่มากไม่น้อยไป ถ้ามากกว่านี้ก็เจ็บตูด ถ้าน้อยกว่านี้ก็ยังยังไม่เต็มอิ่ม
ทะเลทรายที่นี่เป็นทะเลทรายที่แตกต่างจากโอมานที่เราเคยไปมา สวยคนละแบบ เป็นทรายสีน้ำตาลอ่อนๆ เนื้อทรายละเอียดๆ ไม่แน่นมาก สันทรายไม่สูง แต่มีภูเขาสูงล้อมรอบแทน แตกต่างจากทะเลทรายที่อื่น แต่ที่เหมือนๆกันคือความน่ารักของน้องอูฐนี่แหละ อูฐที่นี่ ค่อนข้างคุ้นเคยกับคน เราเลยได้เซลฟี่หรือถ่ายรูปได้กันตามสบาย
Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill เป็นฉากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อลังการมากๆ เหมือนเป็นถนนวิ่งเข้าไปในภูเขาใหญ่ ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่เค้ากำหนดไว้แล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา ทางถนนจริงๆมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขา ที่นี่เลยได้ชื่อว่า magnetic hill เป็นอีกจุดหมายที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเราเล็กแค่ไหน เมื่อเทียบกับธรรมชาติรอบตัว ธรรมชาติคือสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ
sangam view point เป็นจุดตัดของแม่น้ำสินธุและซันสการ์ไหลมาบรรจบกัน โดยจุดที่แม่น้ำไหลมาบรรจบกัน จะเห็นความแตกต่างของสีแม่น้ำเป็นสองโทนโดยไม่ต้องสังเกตเลย เป็นความงดงามของธรรมชาติที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย แม่น้ำด้านล่างผสมกับ ฉากหลังที่เป็นภูเขา สลับไปมาและสีท้องฟ้าสดใส ไปนั่งถ่ายรูปสวยๆ เพลินๆ แป๊ปเดียวเวลาหายไป ไม่ทันรู้ตัวเลย
Khardung la Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก สูงถึง 18,380 ฟุตหรือ 5,602 อากาศบนนี้หนาวและออกซิเจนบางมากๆ เราใช้เวลาอยู่บนนี้ได้แค่ 30 นาที ฮ่าๆ มันเหนื่อยจนหายใจไม่ออก แต่เป็น 30 นาทีที่ เหมือนได้พิชิตอะไรที่เป็น อับดับโลก ( บ้าสถิตินิดนิด ) ที่นี่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก บางคนขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาบนนี้ ทั้งๆที่ถนนที่นี่ ไม่ใช่ทางลาดยางสวยๆ เป็นทางขรุขระๆ แคบๆ และสูงมากๆ และหนาวมากๆ แค่คิดว่าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาบนนี้ ก็ตัวสั่นหมดแล้ว ขนาดเรานั่งรถตู้ขึ้นมา ยังเสียวและหนาวขนาดนี้ การขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมามันต้องใช้ความพยายามและ ความตั้งใจขนาดไหน!! แต่เราว่ามันคงเป็นคนเป็นที่สุดในชีวิตอีกอย่างของเค้าและของเราเองด้วยแหละ
สำหรับที่นี่เราชอบระหว่างทางที่เดินทางมากกว่าจุดตรงนี้ คือมันสวยมาก ถ้าเคยได้ยินว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ที่นี่คือบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี แต่เราขอเพิ่มนิยามของที่นี่ไว้อีกอย่าง คือ “ ยิ่งสูงยิ่งอ๊วก” พกยาดมและถุงพลาสติกไว้ให้มั่น กลับไปเมืองไทยจะได้พูดกับเพื่อนได้เต็มปากแหละว่า “กูไปถนนที่สูงที่สุดในโลกมาแล้วนะมึง”
เราไม่ใช่สายวัดเลย ทริปนี้ไม่ได้เลือกวัดเข้ามาในแพลนเท่าไหร่ พอดีวัดนี้พอมีเวลาเหลือระหว่างทางเลยมีโอกาสได้แวะ ซึ่งถือเป็นโชคดี เพราะว่ามันสวยมากเลย Thiksey monastery ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นโปตาลาน้อยประจำเมืองเลห์ เพราะรูปร่างหน้าตา คล้ายกับวัดโปตาลาที่ธิเบต ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอารยะเมตรัยองค์ใหญ่ที่สุดในลาดัคห์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงการมาเยือนขององค์ดาไล ลามะองค์ที่ 14 ซึ่งสร้างได้สวยงามมากๆ ที่วัดมีเกสเฮาท์ให้สำหรับ ผู้ที่สนใจปฎิบัติธรรม นอกจากนั้นรอบวัดยังมีบรรยากาศดีมากๆ ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีได้สุดลูกหูลูกตา
Namgyal Tsemo Gompa ตั้งอยู่ในเมืองเลห์ เดินทางสะดวก เราว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในเมืองเลห์ สนุกกับการถ่ายภาพกับธงมาตราหลากสีสันและชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ได้เต็มที่เลยค่ะ ที่นี่ยังมองเห็นวิว Santi stupa ผ่านวิวใบไม้เปลี่ยนสีไกลๆ มองมุมไหนก็สวยไปหมดเลยค่ะ บอกได้คำเดียวว่า 10 10 10 ไปเลยจ้า
เลห์ ลาดักห์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไปก่อนตาย นอกจาก 9 สถานที่ห้ามพลาดที่เราเอามาเล่าให้ฟังแล้วนั้น วิวระหว่างทางก็สวยเอาเรื่องเลย เอาจริงจริงแล้ว เมิงต้องมาก่อน 30 อย่ารอจนแก่แล้วค่อยไปเที่ยว พวกเธออาจทำได้แค่ลุกไปเยี่ยว แล้วกลับมารอที่รถ มีแรงตอนนี้ จงลุกขึ้นไปจองตั๋วกับ Traveloka ด่วนๆ
แล้วเราจะได้เจอกันอีกครั้ง
จูเล่ !!
เขียนและถ่ายภาพโดย
คุณเยาวณี หนูยิ้ม
Facebook:https://www.facebook.com/go.anywheree/
Website:https://soompooy.com/