เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กิจกรรมยอดนิยมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งหลาย โดยเฉพาะนักเดินทางที่ชอบการผจญภัยคงหนีไม่พ้นการออกไปเดินป่า สัมผัสธรรมชาติ ดูทะเลหมอกในยามเช้า และพิชิตยอดเขาต่าง ๆ เพื่อเป็นการพาร่างกายออกไปพักผ่อน พร้อมทั้งสูดอากาศบริสุทธิ์กันให้ฉ่ำปอดบ้าง ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้เราได้วางแผนมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเลยที่ตั้งอยู่ในภาคอีสานของประเทศไทย หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีอากาศเย็นสบาย ฟินไม่แพ้ภาคเหนือ แถมที่เที่ยวเยอะไม่ซ้ำใครอีกด้วย เรียกได้ว่าหากคุณได้ลองไปสัมผัสด้วยตนเองสักครั้งแล้ว จะต้องรู้สึกหลงรักตามเราไปอย่างแน่นอน และวันนี้เราก็ไม่ได้มาตัวเปล่า เพราะเราได้นำทริปรีวิวไปเที่ยวเลยต้อนรับลมหนาว มาฝากเพื่อน ๆ ให้ตามไปปักหมุดเช็กอินกัน หากอยากรู้แล้วว่าเลยมีดีอย่างไร ก็ตามเราไปดูกันได้เลย
การเดินทางจากกรุงเทพ - เลย
สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพไปเลยในครั้งนี้ เราได้จองตั๋วเครื่องบินผ่าน Traveloka เว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่รวบรวมความสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างครบครัน ทำให้ไม่ว่าทริปไหนก็เดินทางได้อย่างง่าย ๆ ในราคาสุดคุ้ม เพราะเขามาพร้อมกับฟีเจอร์สุดพิเศษที่ออกแบบมาให้คุณสามารถเทียบราคา และโปรโมชั่นจากสายการบินต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คุณและชาวแก๊งสามารถเลือกซื้อราคาตั๋วเครื่องบินที่ดีที่สุดและถูกที่สุดได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเปรียบเทียบเองให้เหนื่อยอีกต่อไป #Travelokaเทียบแล้วเที่ยวเลย
แถมขั้นตอนในการจองก็ง่ายมาก ๆ เพียงคลิกเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ และกดเลือกจองตั๋วเครื่องบิน ต่อด้วยการใส่ต้นทางและจุดหมายปลายทางที่ต้องการ หลังจากนั้นเลือกวันที่ที่ต้องการเดินทางและกดคลิกเลือกไฟล์ทบินของสายการบินต่าง ๆ ที่มาพร้อมราคาสุดคุ้ม เพียงเท่านี้คุณก็เตรียมตัวแพ็กกระเป๋าแล้วออกไปตะลุยกับเราได้แล้ว
Day 1 - วันแรกของการเดินทาง
เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดเลย เราก็ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่แรกนั่นก็คือ “วัดศรีคุณเมือง” หรือ วัดใหญ่ วัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมาอย่างยาวนาน ซึ่งภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบนาคปรกที่มีอายุกว่า 300 ปี โดยภายในมีการตกแต่งสถาปัตยกรรมที่สวยงามวิจิตรบรรจง และมีภาพวาดฝาผนังที่งดงาม ทำให้กลายเป็นวัดที่ชาวบ้านต่างให้ความนับถือศรัทธาเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางกันมาเช็กอิน เพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอพรพระเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยและความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตในวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังมาถึงนั่นเอง
พอไหว้พระเสร็จเราก็ขอแวะไปทานอาหารเช้ากันที่ร้านซอยซาวเชียงคาน ร้านอาหารขึ้นชื่อที่เสิร์ฟอาหารเช้าน่าตารับประทานอย่างมากมายหลากหลายเมนู ทั้งข้าวต้ม โจ๊กหมู หมูยอลวกจิ้ม ไข่กระทะ ขนมปังปิ้ง ข้าวราดแกง กาแฟ และเครื่องดื่มอื่น ๆ ตลอดไปจนถึงข้าวเปียกเส้นที่มาพร้อมกับรสชาติที่กลมกล่อมและลงตัวเป็นอย่างมาก
แถมภายในร้านยังมีโต๊ะให้นั่งท่ามกลางบรรยากาศอันสบาย ๆ เป็นกันเอง เรียกได้ว่าเป็นร้านที่แนะนำมาก ๆ เลย หากใครมีโอกาสได้ไปที่เชียงคานก็สามารถลองแวะไปลิ้มลองรสชาติอาหารดูได้
ซึ่งหลังจากอิ่มท้องกันแล้ว เราก็เดินทางไปยังที่พักเพื่อเข้าเช็กอินและเก็บสัมภาระต่าง ๆ โดยในทริปนี้เราได้จองที่พักที่ชื่อว่า “โรงแรมชิคเชียงคาน” ในราคาหลักพันเท่านั้น แต่บอกเลยว่าที่พักแห่งนี้ถูกตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวธรรมชาติสวย ๆ ได้อย่างชัดเจน แถมภายในยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การพักผ่อนอย่างครบครันอีกด้วย
ซึ่งเราก็เดินชมวิวภายในที่พักสักพัก ก็ขอตัวไปงีบพักเหนื่อยหลังจากที่ได้เดินทางกันมาหลายชั่วโมงก่อนจะออกไปเดินเที่ยวต่อในเย็นนี้
หลังจากที่นอนงีบไปสักสองชั่วโมง เราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมตัวออกไปเดินเล่นชิล ๆ ที่ถนนคนเดินเชียงคาน หนึ่งในจุดเช็กอินที่ต้องไปเยือนเมื่อมาถึง โดยที่ถนนคนเดินแห่งนี้ถูกรายล้อมไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารคาว ของหวาน ตลอดไปจนถึงของฝากที่ระลึก และร้านอาหารที่เรียงรายเต็มทั่วสองฝั่งทางเดิน
ซึ่งเราก็ได้เดินเล่นชิล ๆ เก็บบรรยากาศของเมืองเชียงคานที่เต็มไปด้วยความน่ารักและความเป็นกันเองของผู้คน ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตอีกรูปแบบของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณแถบนี้ อีกทั้งของที่ขายบนถนนแห่งนี้ยังมาพร้อมกับราคาที่เป็นกันเองเป็นอย่างมาก ทางเราก็ได้เดินไปซื้อของจุกจิกทานไปตลอดทาง เหมือนเป็นการมาพักผ่อน ได้ใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ พร้อมรับลมหนาวและชมสีสันยามค่ำคืนของเมืองเชียงคานที่แสนจะอบอุ่นมาก ๆ เลยทีเดียว
พอเดินเล่นไปกินไปจนรู้สึกอิ่มท้อง เราก็เดินทางกลับเข้าที่พัก เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวเดินทางไปท่องเที่ยวต่อในเช้าวันที่สอง ซึ่งในวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปเช็กอินกันที่ไหนบ้าง ตามไปดูกันต่อได้เลย
Day 2 - วันที่สองของการเดินทาง
ในวันนี้เราได้ตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 5 เพราะเราได้วางแผนว่าจะเดินทางไปชมทะเลหมอกในยามเช้า พร้อมทั้งไปชมแสงแรกของจังหวัดเลยกันที่บริเวณจุดชมวิวทะเลหมอกภูทอก เราจึงรีบอาบน้ำแปรงฟัน และแต่งตัวเพื่อออกเดินทางไปกัน
โดยการจะขึ้นไปที่จุดชมวิว เราได้ใช้บริการสามล้อเครื่อง ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 100 บาท แต่รับรองได้เลยว่าภาพบรรยากาศที่คุณได้เห็นจะทำให้คุณรู้สึกไม่เสียดายเงินเลย เพราะสถานที่แห่งนี้นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในบรรดาหมู่ของนักท่องเที่ยว เพราะถือเป็นจุดชมวิวทิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ของอำเภอเชียงคาน ที่ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ และมีลักษณะเป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
และนี่ก็เป็นแสงอาทิตย์แรกที่เราได้เห็นกันในเช้าวันที่สอง ช่างเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก มันเป็นภาพบรรยากาศที่ไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ แต่ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นและบริสุทธิ์ของอากาศรอบ ๆ มากเลย โดยจากจุดชมวิว เราสามารถมองเห็นความงดงามของแม่น้ำโขง และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งเราก็ยืนชมและเก็บภาพบรรยากาศของธรรมชาติกันอยู่สักพัก เราก็ได้เดินทางไป “ตักบาตรข้าวเหนียว” กันต่อ เพราะเขาว่ากันว่าหากไม่ได้มาตักบาตรที่ถนนสายริมโขง ก็ถือว่ามาไม่ถึงเลยนั่นเอง
โดยประเพณีนี้จะทำให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นที่ยังคงอนุรักษ์ความงดงามอันเก่าแก่ที่ทำกันมาแต่ช้านานเอาไว้ ซึ่งจะมีพระภิกษุสงฆ์จากวัดต่าง ๆ เดินบิณฑบาตเรียงรายบนถนนสายริมโขงกันตั้งแต่เวลา 6.00 โมงเช้า ทำให้เรารู้สึกอิ่มทั้งบุญและบรรยากาศเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้ใส่บาตรกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็ขอตัวไปทานอาหารเช้าก่อนที่จะออกไปท่องเที่ยวกันต่อ เพราะกองทัพจะต้องเดินด้วยท้อง ซึ่งแหล่งเช็กอินที่เราจะเดินทางไปในวันนี้ก็คือ การไปปักหมุดชมความงดงามของเจดีย์พระพุทธบาทภูควายเงิน ณ วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน โบราณสถานอันเก่าแก่ของอำเภอเชียงคานที่ต้องเยือนด้วยตัวเองสักครั้ง
ซึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนวัดแห่งนี้ก็คือ การเข้ามาสักการบูชารอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่ภายใต้ซุ้มอิฐใหญ่ และกราบไหว้พระเจ้าใหญ่พุทธฉันพรรณรังสีพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวองค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นอย่างสง่างาม
และนอกจากเราจะเดินทางมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ภายในวัดแล้ว เรายังสามารถชมความน่ารักและให้อาหารเจ้าฝูงกระต่าย เต่า และปลาได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย บอกเลยว่าน้อง ๆ น่ารักสุด ๆ เชื่อว่าหลายคนจะต้องชื่นชอบหนึ่งในกิจกรรมนี้อย่างแน่นอน
หลังจากที่เราไหว้พระและให้อาหารน้องกระต่ายกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็ได้เดินทางมุ่งหน้าไปยัง แก่งคุดคู้ สถานที่เที่ยวยอดฮิตของเชียงคาน ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักเดินทางไปสัมผัสและดื่มด่ำธรรมชาติฝั่งริมโขง พร้อมทั้งชมวิวทัศนียภาพที่ทอดเป็นแนวยาวอย่างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเราก็ได้เดินเล่นถ่ายรูปกันสักพัก ก็มองไปเห็นว่าบริเวณใกล้ ๆ ก็มีชาวบ้านที่มาจับจองพื้นที่เปิดซุ้มจำหน่ายอาหารเรียงรายกันอย่างมากมาย ทั้งปลา กุ้ง หอย ไปจนถึงส้มตำ ไก่ย่าง เห็นแล้วน่าลองมาก ๆ เพราะมาถึงถิ่นเขาทั้งที ก็ไม่ควรพลาดลิ้มลองรสชาติของต้นตำรับกันซะหน่อยแล้ว
เดินชมไปสักระยะก็เกือบเย็นแล้ว เราจึงตัดสินใจกลับไปแถวที่พักและไปเดินเล่นปั่นจักรยานริมโขง เพื่อซึมซับบรรยากาศของจังหวัดเลย ก่อนจะเตรียมตัวกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ บอกได้เลยว่าการมาเดินเล่นชิล ๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงมนต์เสน่ห์ของเชียงคานและการดำเนินชีวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้านที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก พอเดินเสร็จกันจนพอใจเราก็หาอะไรทานง่าย ๆ ในเย็นนี้และกลับพักผ่อน เพื่อออกไปตะลุยกันต่อในเช้าวันสุดท้าย
Day 3 - วันที่สามของการเดินทาง
และแล้ววันสุดท้ายของทริปนี้ก็มาถึง ยังเที่ยวไม่ทันไรเลยก็ต้องกลับบ้านกันแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสนุกมันช่างผ่านไปเร็วเสมอ วันนี้เราจะเดินทางกันไปที่ พิพิธภัณฑ์บ้านไทดำ หมู่บ้านเล็ก ๆ ของพี่น้องเชื้อสายไทดำ หรือไทชงดำ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทดำ ไม่ว่าจะเป็น บ้านพักเรือนไม้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างการทอผ้า หรืองานหัตถกรรมอื่น ๆ ที่มีให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ และชื่นชมกันได้อย่างใกล้ชิด
ซึ่งพอเรามาถึงชาวบ้านก็จะคอยต้อนรับและเป็นไกด์พาเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชาวไทดำให้ฟังตลอดทาง ทำให้เราได้เห็นถึงการเป็นอยู่อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าค้นหาเป็นอย่างมาก และเราก็ได้รู้ว่าชาวไทดำนั้นมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และที่มาของการเรียกว่าไทดำก็มาจากการที่ชาวบ้านนิยมสวมใส่เสื้อผ้าสีดำที่ย้อมมาจากต้นหอมหรือต้นครามนั่นเอง
หลังจากที่เดินชมกันเสร็จเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยัง วัดท่าครก อีกหนึ่งในวัดเก่าแก่ของอำเภอเชียงคาน ที่เป็นแหล่งรวมงานศิลปะและวัฒนธรรมจากหลายชนชาติเอาไว้อย่างมากมาย โดยจุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ การเขียนตัวอักษรธรรมอีสานที่บริเวณหน้าโบสถ์ และพระอุโบสถที่ตกแต่งและออกแบบด้วยลายที่โดดเด่นจนน่าสะดุดตาอย่างงดงาม เพราะได้มีการนำศิลปะฝรั่งเศสมาผสมผสานจนทำให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก
เห็นไหมว่าพระอุโบสถมีความวิจิตรงดงามในด้านศิลปะเป็นอย่างมาก แถมภายในยังเป็นที่ประดิษฐานของพระประธาน ปางมารวิชัย ที่เราสามารถเข้าไปกราบไหว้ขอพรพระกันได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกพิกัดที่ควรหาโอกาสมาเยือนด้วยตนเองสักครั้งเลยทีเดียว
หลังจากที่เราได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปสนามบินเลย เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องและกลับกรุงเทพกัน บอกได้เลยว่าการเดินทางมาเยือนเลยเป็นเวลา 3 วัน 2 คืนในทริปนี้ช่างเต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนานกันอย่างมากมาย เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมอีกแง่ของชาวบ้าน รวมถึงได้ทำบุญตามวัดต่าง ๆ และขึ้นไปชมธรรมชาติพร้อมรับลมหนาวกันที่จุดชมวิวบนภูเขาสูง จนเรียกได้ว่าเป็นทริปที่ครบเรื่องเที่ยวตอบโจทย์ทุกความต้องการของการเดินทางและพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว