เข้าสู่หน้าฝนแล้ว ต้องบอกเลยว่าฝนดุสุดๆ เพราะอากาศร้อนหนักฝนเลยมามากไม่รู้เกี่ยวไหม แต่ถ้าจะให้เกี่ยวก็ได้แหละจน เพราะอากาศ Heat Up จนร่างพัง Over Heat แบบจอดสนิท ปิดประตูไม่ต้องขยับร่างเลยจะเป็นการดีที่สุด แต่ ... หยุด ! พอก่อน จะคงสภาพพัง ๆ เพราะความร้อน ความฝนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ทั้งที่เราเป็นคนไทยที่เกิดบนเมืองร้อนคงไม่ได้การ เลยเป็นที่มาของทางออกของปัญหา ที่สติเสี้ยวสุดท้ายจะคิดได้กับ 3วัน2คืน แจกทริปเที่ยวภูทับเบิก ไม่ว่าจะมาเที่ยวตอนไหนบอกเลยว่าฟิน
จองที่พักในภูทับเบิกกับ Traveloka ง่าย ๆ แค่คลิก
เพราะหน้าร้อน ภูทับเบิกไม่ร้อนนะ คือ Wording สุดท้ายที่ผ่านสายตา และยังคงอยู่ในโสตประสาทมาจนตอนนี้ ส่วนเรื่องว่าที่เคยผ่านตามานั้น หน้าร้อนภูทับเบิกไม่ร้อนจะจริงมั้ย แล้วเราจะได้รู้กัน ...
ในส่วนของการเดินทางมายังภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งแบบขับรถยนต์ส่วนตัวมาเอง ระยะทางกรุงเทพ – ภูทับเบิกประมาณ 388 กิโลเมตรก็ชิลล์ ๆ สำหรับคนชอบขัยรถ แต่ไม่มั่นใจว่าอากาศร้อน ๆ แบบนี้จะไหวมั้ยนะ เว้นแต่จะออกจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืดเพื่อหนีแสงแดด หรือจะเลือกใช้บริการสายการบินพานิชย์ที่มีให้เลือกหลายสายทั้ง Nok Air, Thai Lion Air และ Air Asia แล้วจะเช่ารถ จะเหมาสองแถว หรือจะต่อรถโดยสารประจำทางไปยังภูทับเบิกก็ทำได้ตามแบบที่ชอบสไตล์ที่ใช่กันได้เลย
ทริป 3 วัน 2 คืนเที่ยวภูทับเบิกครั้งนี้ เนื่องจากเป็นหน้าร้อนจึงขอเที่ยวแบบชิลล์ ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องอัดที่เที่ยวมานัก เดี๋ยวร่างจะพังเพราะอากาศไม่เป็นใจ โดยเฉพาะช่วงเที่ยง ๆ ถึงลมจะดี อากาศจะเย็นยังไง ก็แพ้อุณหภูมิความ Heat ของแดดแน่นอน
ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลยเมื่อมาถึงภูทับเบิก แม้จะเป็นช่วง Summer แต่ก็ต้องบอกว่าหน้าร้อน ... ภูทับเบิกไม่ร้อนนะ จริง ๆ ด้วย เพราะอากาศบนเขาที่ภูทับเบิกเย็นสบาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีสายลมพัดผ่าน ยิ่งช่วยทำให้ลืมความร้อนทะลุเดือดของกรุงเทพที่จากมากันไปเลย แต่ในช่วงเที่ยง ๆ ก็อาจจะมีบ้างที่ลมเย็น ๆ จะสู้อากาศสุด Hot ไม่ไหว ก็ต้องอากาศชายคา ร่มเงา หลบแดดกันเอา หรือก็หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงตั้งแต่ประมาณ 11 โมงถึงประมาณบ่าย 2 โมงเป็นดีที่สุด ด้วยการหาร้านอาหารชิค ๆ วิวดี ๆ นั่งชิลล์กับอาหารเที่ยงกับไปยาว ๆ
ก่อนจะเริ่มเที่ยวเราก็ต้องเข้าที่พัก เก็บสัมภาระกันก่อน โดยคราวนี้เราเลือกที่พักที่ Imperial Phukaew Hill Resort เพราะนอกจากที่พักสวย ตั้งอยู่บนทำเลดี ๆ สวย ๆ เห็นวิวพาโนรามาแล้ว ยังมี Adventure Park อยู่ภายในอาณาบริเวณของรีสอร์ท จึงทำให้นอกจากจะพักผ่อน Chill Out ในวันสบาย ๆ ยังมีกิจกรรมท้าทายให้ทำอีกด้วย
Imperial Phukaew Hill Resort
Imperial Phukaew Hill Resort ตั้งอยู่บนเนินเขาของเขาภูแก้ว อันเป็นที่มาของชื่อรีสอร์ท มีอาณาบริเวณกว้างขวางบนพื้นที่กว่า 500 ไร่ กับห้องพักสไตล์ชาเล่ต์เป็นหลัง ๆ ที่ให้ความเป็นส่วนตัว ในบรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่ม ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ตั้งอยู่บนยอดเนินเขา รายล้อมด้วยทิวเขา ภูผาสูง และต้นไม่สีเขียวขจี ที่ให้ความรู้สึกคล้ายอยู่ในบรรยากาศของชนบทในยุโรป โดยเฉพาะยิ่งถ้ามาในช่วงหน้าหนาวที่อากาศหนาวเย็น และมีไอหมอกหนายาวเช้า มีความคล้าย สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย อยู่เบา ๆในส่วนของการตกแต่งห้องพัก เน้นความเรียบง่าย อบอุ่น ด้วยการเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติเข้ามาเป็นองค์ประกอบหลัก และเน้นโทนสีขาว – น้ำตาล
นอกจากทำเลดีตั้งที่สวยเด่นอลังการ ห้องพักที่สวยงามแล้วนั้น ที่ Imperial Phukaew Hill Resort ยังมีเอกลักษณ์ในเรื่องของการจัดประดับประดาสวนย่อมอย่างสวยงาม ด้วย Landscape ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดทั่วบริเวณรีสอร์ท ที่ถูกปลูกและจัดสรรอย่างประณีตลงตัว
ที่เป็นไฮไลท์เด็ดกว่านั้น คือ ภายในบริเวณรีสอร์ทได้จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นAdventure Park สำหรับแขกที่มาเข้าพักพร้อมสมาชิกในครอบครัว ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะมีกิจกรรมให้เลือกหลายหลาก ทั้งเครื่องเล่นและกิจกรรมท้าทายความกล้า อาทิ การยิงธนู ขี่จักรยานวิบาก กำแพงเชือก และ Flying Trapeze เป็นต้น
หลังจากใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียวกับการสำรวจห้องพัก และ Facility ต่าง ๆ ภายในบริเวณรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปท่องโลก เปิดประสบการณ์ใหม่ ปลดปล่อยพลังงานกับพื้นที่สีเขียวของภูทับเบิกกันแล้ว โดยในช่วงบ่ายของวันแรกนี้ เราเลือกไปชมวิวภูทับเบิกกันก่อน กับทัศนียภาพของภูเขาสูงสวย ๆ สีเขียวขจีที่เต็มไปด้วยแปลงไร่เกษตรที่เรียงตัวกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ของภูทับเบิก ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม สบายสายตา และหาดูได้ยากทีเดียว
ภูทับเบิก
พื้นที่สีเขียวบนยอดเขา อันเป็นแปลงปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ท่ามกลางอากาศบริสุทธ์เย็นสบายตลอดทั้งปี ที่ระดับความสูง ประมาณ 1,768 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขาน้อยใหญ่ที่เรียงตัวซ้อน กันรอบภูทับเบิก อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้พืชพรรณเขียวขจี ที่ทำให้วันพักผ่อนสบาย ๆ ยิ่งสบายเข้าไปอีกกับลมเย็น ๆ ที่พัดมาปะทะใบหน้าเป็นระลอก และวิวสีเขียวกว้างไกลสุดสายตาที่ช่วยผ่อนคลายสายตา
พิกัด : ภูทับเบิก , จุดชมวิวภูทับเบิก
หลังจากเที่ยวชมไร่กะหล่ำปลี เดินเล่นชิลล์ที่ที่จุดชมวิวภูทับเบิก เพลิดเพลินกับวิถีอันเรียบง่ายของชาวพื้นเมือง และชื่นชมกับทัศนียภาพอันสวยงามของภูทับเบิกจนพอใจแล้ว จังหวะพอดีกับเวลาที่เริ่มเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน จึงประวิงเวลาเล็กน้อยเพื่อคอยชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ภูทับเบิกก่อนที่จะย้ายโลเคชั่นกลับเข้าที่พักก่อนที่จะมืดค่ำจนเดินทางลำบาก
ยามเช้าของวันที่สองที่ที่พักตอนรุ่งเช้ายังพอเห็นไอหมองสีขาวลอยเบา ๆ อากาศเย็นสบายสุด ๆ พนักงานของที่นี่แอบกระซิบมาว่า ที่นี่ไม่เคยอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซสเซียลเลย ว่าแล้วก็อดอิจฉาคนเพชรบูรณ์ไม่ได้ ที่มีอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายตลอดทั้งปี ไม่เหมือนคนกรุงเทพอย่างเรา ๆ ที่อากาศร้อนทั้งปีเช่นเดียวกันในทางที่แย่กว่า แต่ก็นะ ... ทำยังไงได้ ก็เลยต้องมาภูทับเบิกในหน้าร้อนนี่ยังไงล่ะ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่หน้าร้อนนี้เลือกมาภูทับเบิก
สำหรับทริปวันที่สองนี้ เราเปิดวันใหม่วันที่สองด้วยการนมัสการไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยให้เป็นสิริมงคลกันก่อนเลยที่ วัดผาซ่อนแก้ว
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
วันอันวิจิตรงดงามด้วยการออกแบบและสร้างอย่างประณีตบรรจง ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขารอบทิศทาง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วแห่งนี้ ด้วยพระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ซ้อนกัน 5 องค์ ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นอลังกลางท่ามกลางภูเขาสีเขียวล้อมรอบ ทำให้ที่นี่กลายเป็น Landmark แห่งใหม่ของเพชรบูรณ์อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเขาค้อที่สวยงามในทุกฤดูกาลอีกด้วย
พิกัด : วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
หลังจากไหว้พระให้เป็นสิริมงคลกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางต่อไปกันที่ ทุ่งแสลงหลวง
ทุ่งแสลงหลวง
อุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง กินเนื้อที่ประมาณ 16 ตารางกิโลเมตร ได้รับการขนานนามให้เป็น “ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย” ด้วยทัศนียภาพของผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ในฉบับทุ่งหญ้าแบบสะวันนาสลับกับป่าสนสองใบ ซึ่งเป็นป่าสะวันนาแห่งเดียวของภาคเหนือ ที่นับเป็นทัศนียภาพอันสวยงามของธรรมชาติที่หาดูได้ยากทีเดียว
พิกัด : ทุ่งแสลงหลวง
ดื่มด่ำกับทัศนียภาพเท่ ๆ ของทุ่งหญ้าสะวันนาไปแล้ว แต่ยังพอมีเวลาเหลือก่อนกลับเข้าที่พัก เลยไปกันต่อกับบรรยากาศแบบทุ่ง แต่ที่นี่มีเทคโนโลยีล้ำและสมัยใหม่ขึ้นไปอีกที่ ทุ่งกังหันลม เขาค้อ ซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับที่พักพอดีเลย
ทุ่งกังหันลม
ทุ่งกังหันลมยักษ์ใหญ่ ที่ตั้งเรียงรายอยู่บนเนินเขาสูง ในหมู่บ้านเพชรดำ ที่นอกจะเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นพิกัดท่องเที่ยวฮิป ๆ อีกแห่งหนึ่งด้วย ให้ได้ทอดสายตาดูวิวกังหันลมขนาดใหญ่ยักษ์กลางธรรมชาติในบรรยากาศหุบเขา โดยมีจุดชมวิวอยู่ถึง 2 แห่งด้วยกัน คือ จุดชมวิวช้างดอย และ จุดชมวิวระเบียงกังหันลม แถมถ้ายังไม่หมดแรงไปกันต่อไหว บริเวณจุดชมวิวยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้เลือกใช้พลัง ทั้งกิจกรรมท้าทายความหวาดเสียวสุดเร้าใจอย่าง นั่งรถล้อเลื่อนลงเนิน “ฟอร์มูล่าม้ง” หรือ นั่งชิงช้าไม้หมุนและชิงช้าแบบเชือกเส้นเดียวกับ “ชิงช้าชาวเขา” หรือจะชิลล์สไตล์สายหวานกับการชิมสตอรเบอรี่สด ๆ จากไร่สตรอเบอรี่ บีจีก็เก๋ไม่แพ้กัน
พิกัด : ทุ่งกังหันลม
Day 3 หลังจากออกจากที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก็ยังมีแอบแวะสักนิด ไปจิบกาแฟเพิ่มเติมคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายท่ามกลางบรรยากาศสุดอลังการกันก่อนที่ Pino Latte Resort & Café ไปเป็นที่เช็คอินแห่งสุดท้ายของทริปภูทับเบิก
Pino Latte Resort & Café
ร้านกาแฟสุดชิค ที่ฮิตที่สุดในละแวกนี้ ด้วยเป็นระเบียงชมวิวเขาค้อแบบพาโนรามา 360 องศาที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน Pino Latte Resort & Café ร้านกาแฟที่มีดีไซน์การออกแบบเก๋ไก๋ ในสไตล์สุดฮิปจากการนำตู้คอนเทรนเนอร์มาดัดแปลงให้มีสไตล์แบบ Modern Loft โดยเน้นวัสดุไม้ที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ และโครงเหล็กสีดำที่ช่วยเพิ่มความทันสมัยแบบไม่ขัดสายตา ทั้งยังมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ อยู่ทั่วบริเวณร้าน จึงเป็นเหตุผลให้ที่นี่เป็นพิกัดที่คนที่แวะเวียนมาเขาค้อต้องไม่พลาดเช็คอินที่นี่
พิกัด : Pino Latte Resort & Café
จบไปแล้วกับทริปภูทับเบิกหน้าร้อน 3 วัน 2 คืน ที่ต้องบอกว่าหน้าร้อนที่ภูทับเบิกนั้นไม่ร้อนจริง ๆ ด้วย แถมยังได้ชมดูสวย ๆ บรรยากาศดี ๆ จนนอกจากจะลืมร้อนกันไปเลยแล้ว ต้องเพิ่มให้ด้วยว่า แทบไม่อยากกลับกรุงเทพกันเลย T-T