หากคุณกำลังมองหาที่เที่ยวธรรมชาติญี่ปุ่นที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และยังคงความงดงามของภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำสายใสบริสุทธิ์ ขอแนะนำให้รู้จักกับคามิโคจิ (Kamikochi) สวรรค์กลางหุบเขาในจังหวัดนากาโนะ ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินป่าและคนรักธรรมชาติเป็นอย่างมาก ที่นี่คือหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น และยังเป็นประตูสู่เทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น (Japanese Alps) ที่สามารถมาเที่ยวได้ง่ายและปลอดภัย
การเที่ยวคามิโคจินั้น เรียกได้ว่าเหมาะกับทุกเพศทุกวัยเลย! ไม่ว่าคุณจะเป็นสาย Hiking สายชิล หรือสายคอนเทนต์ ที่นี่เสิร์ฟครบ! ตั้งแต่การเดินเล่นบนสะพานคัปปะบาชิ (Kappabashi Bridge), การชมหมอกยามเช้าเหนือแม่น้ำอาซูสะ (Azusa River), ไปจนถึงการชมวิวทะเลสาบ Taisho ท่ามกลางฉากหลังของภูเขาโฮตากะ (Mount Hotaka) และภูเขาโยเคโดเกะ (Mount Yakedake) ถ้าคุณกำลังวางแผนเที่ยวแนวธรรมชาติในญี่ปุ่นครั้งหน้า คามิโคจิคืออีกหนึ่งที่เที่ยวที่คุณจะตกหลุมรักตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปเลยล่ะ! อ่านจบแล้วกดจองตั๋วเครื่องบินและที่พักใกล้ ๆ คามิโคจิกับ Traveloka เลย!
สะพานคัปปะบาชิเป็นแลนด์มาร์กและจุดชมวิวคามิโคจิที่ไม่มีใครพลาดเมื่อมาเยือน เป็นสะพานไม้ขนาดยาวที่ทอดข้ามแม่น้ำอาซูสะ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาโฮตากะที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทำให้จุดนี้กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมอันดับหนึ่ง สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเก็บภาพสวย ๆ หรือแค่ยืนรับลมชมวิวธรรมชาติแบบพาโนรามา
นอกจากจะเป็นจุดชมวิวแล้ว บริเวณรอบ ๆ สะพานยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักเล็ก ๆ ให้บริการ จึงเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวคามิโคจิและจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าหลายสายอีกด้วย หากคุณกำลังตามหาบรรยากาศเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติ ที่นี่คือจุดเริ่มต้นที่อบอุ่นและสวยงามที่สุดในหุบเขาแห่งนี้
แม่น้ำใสแจ๋วที่ไหลผ่านกลางหุบเขาคามิโคจิอย่างแม่น้ำอาซูสะคือหัวใจของภูมิประเทศแห่งนี้ ด้วยน้ำที่ใสจนเห็นพื้นกรวดเบื้องล่าง และสีฟ้าอมเขียวจากธรรมชาติรอบตัว ทำให้แม่น้ำเส้นนี้งดงามจนราวกับหลุดมาจากภาพวาด โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่ที่มีไอหมอกลอยเหนือน้ำ เป็นภาพที่เงียบสงบและเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งธรรมชาติ
แม่น้ำนี้สามารถเดินเลียบไปได้ตลอดทางด้วยเส้นทางเดินป่าแบบง่าย ๆ เหมาะกับทั้งสาย Hiking และสายชิลที่อยากสัมผัสอากาศบริสุทธิ์แบบไม่ต้องออกแรงมาก จุดชมวิวริมแม่น้ำหลายแห่งยังสามารถมองเห็นเงาภูเขาสะท้อนบนผิวน้ำอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวญี่ปุ่นแนวเสพธรรมชาติที่ห้ามพลาด
ทะเลสาบ Taisho เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟโยเคโดเกะ (Mt. Yakedake) เมื่อปี 1915 ทำให้น้ำจากแม่น้ำอาซูสะไหลมาขังกลายเป็นทะเลสาบที่สงบเงียบและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จุดเด่นคือซากต้นไม้แห้งที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ สร้างบรรยากาศลึกลับและสวยงามในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในยามเช้าที่มีหมอกบาง ๆ ลอยเหนือผิวน้ำ เป็นช่วงเวลาที่นักถ่ายภาพหลายคนรอคอย
วิวที่นี่สามารถมองเห็นทั้งภูเขาโฮตากะและภูเขาโยเคโดเกะได้แบบเต็มตา ทำให้เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของคามิโคจิ ใครที่หลงรักความเงียบสงบและธรรมชาติในแบบเต็มคาราเบลต้องไม่พลาดจุดเช็คอินนี้เลยจ้า
Credit: kamikochi.org
หนึ่งในเสน่ห์หลักของการเที่ยวคามิโคจิคือเส้นทางเดินป่าที่เหมาะกับทุกคน มีทั้งแบบเดินเบา ๆ ชมวิวธรรมชาติ ไปจนถึงเส้นทางที่ต้องใช้เวลาและแรงกายมากขึ้น เช่น ทางไป Myojin Pond หรือเส้นทางขึ้นภูเขาโฮตากะ เส้นทางยอดนิยมคือ Loop ระหว่างสะพานคัปปะบาชิ–Taisho Pond–Myojin Bridge ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 1.5–3 ชั่วโมง
ระหว่างทางคุณจะได้สัมผัสทั้งแม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ และสัตว์ป่าน่ารัก ๆ อย่างลิงญี่ปุ่นหรือแม้แต่ลิงกัง เส้นทางเดินได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เดินง่าย ปลอดภัย และมีป้ายบอกทางชัดเจน เหมาะสำหรับสายรักธรรมชาติที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน หรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบใกล้ชิดธรรมชาติสุด ๆ
คามิโคจิ (Kamikochi) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติชูบุซังงากุ (Chubu Sangaku National Park) จังหวัดนากาโนะ (Nagano) ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ และเส้นทางเดินป่าแบบไม่โหดเกินไป การเดินทางมายังคามิโคจิถือว่าสะดวกพอสมควร โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในเมืองใหญ่ใกล้เคียงอย่าง มัตสึโมโตะ (Matsumoto) หรือ ทาคายามะ (Takayama)
สามารถวางแผนเที่ยวคามิโคจิแบบ One-day trip หรือพักค้างคืนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การเดินทางของแต่ละคน และแม้ที่นี่จะเงียบสงบ ดูห่างไกลจากเมือง แต่ก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย และมีการจัดการที่ดีมากในด้านสิ่งแวดล้อม เพราะไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าถึงโดยตรง เพื่อรักษาธรรมชาติไว้ให้คงอยู่
สามารถบินตรงไปยังสนามบินญี่ปุ่นหลายแห่ง เช่น สนามบินนาริตะ (Narita), ฮาเนดะ (Haneda), ชูบุเซ็นแทรร์ (Nagoya Chubu Centrair) หรือคันไซ (Kansai) จากนั้นต่อรถไฟมายังเมืองหลักที่ใกล้คามิโคจิมากที่สุด เช่น มัตสึโมโตะ หรือ ทาคายามะ
เส้นทางยอดนิยมคือบินลงนาโกย่า เพื่อเที่ยวนาโกย่าก่อน แล้วนั่งรถไฟ JR ไป Matsumoto (ใช้เวลาราว 2.5–3 ชม.) หรือบินลงโตเกียว แล้วเที่ยวโตเกียวก่อน จากนั้นต่อรถไฟด่วนสาย Azusa ไปยัง Matsumoto ก็ได้ ถ้าคุณมี JR Pass แต่ถ้าไม่มีก็สามารถซื้อทัวร์เที่ยวคามิโคจิ (เดินทางออกจากโตเกียว) กับ Traveloka ได้เช่นกัน!
จากมัตสึโมโตะ คุณสามารถต่อรถบัสไปยัง Kamikochi Bus Terminal ได้โดยตรง ถือเป็นหนึ่งในเส้นทาง การเที่ยวแนวธรรมชาติในญี่ปุ่นที่สวย จึ้ง อึ้งใจ และไม่ซับซ้อนเลยล่ะ!
จาก Matsumoto Station ให้นั่งรถไฟสาย Kamikochi Line ไปลงที่ Shin-Shimashima Station (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) แล้วต่อรถบัส Alpico ไปยัง Kamikochi Bus Terminal อีกประมาณ 60–70 นาที รวมใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1.5–2 ชั่วโมง ซึ่งสะดวกและมีเที่ยวบ่อยในช่วงฤดูเปิด (กลางเมษายน – กลางพฤศจิกายน)
สำหรับสายที่มาจาก Takayama ก็สามารถนั่งรถบัสตรงของ Nohi Bus มายังคามิโคจิได้เช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง บอกเลยว่าเส้นทางผ่านภูเขาสวยมากเว่อร์ เป็นหนึ่งในที่เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนที่นั่งรถเพลินจนไม่อยากลงเลยล่ะ
หมายเหตุ: คามิโคจิจะปิดในช่วงฤดูหนาว (ปลายพฤศจิกายน – กลางเมษายน) เนื่องจากหิมะตกหนาแน่น ดังนั้นต้องวางแผนให้ดีนะจ๊ะ!
สิ่งที่ทำให้คามิโคจิ (Kamikochi) แตกต่างจากที่เที่ยวธรรมชาติอื่น ๆ ในญี่ปุ่น คือบรรยากาศที่สงบ บริสุทธิ์ และได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากทางอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่มักจะประทับใจใน “ความไม่ปรุงแต่ง” ของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำใสสีฟ้าคราม ภูเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง หรือสะพานไม้ที่กลมกลืนกับทิวทัศน์รอบตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
หนึ่งในจุดเด่นของคามิโคจิที่หลายคนพูดถึง คือการที่ที่นี่ “เงียบ” จริง ๆ ไม่มีเสียงรถ ไม่มีมลภาวะ เพราะไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาในพื้นที่ ต้องนั่งรถบัสหรือรถแท็กซี่จากภายนอกเท่านั้น นี่จึงเป็นแหล่งพักใจที่แท้จริง เหมาะกับคนที่อยากหนีความวุ่นวายและฮีลใจไปกับธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น คามิโคจิยังเป็นจุดหมายในฝันของนักเดินป่าทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ด้วยเส้นทางหลากหลาย ตั้งแต่ Loop ทางราบง่าย ๆ ไปจนถึงทางขึ้นเขาโหด ๆ ขึ้นไปยังภูเขาโฮตากะ ถ้าคุณกำลังมองหาที่เที่ยวญี่ปุ่นธรรมชาติที่รวมทั้งวิว ความสงบ และมีกิจกรรมให้ทำในที่เดียว คามิโคจิติ๊กถูกทั้งหมด!
คามิโคจิ (Kamikochi) เปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี โดยจะเปิดตั้งแต่ กลางเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤศจิกายน เท่านั้น เพราะในช่วงฤดูหนาวพื้นที่จะถูกปิดเนื่องจากหิมะตกหนาและอันตรายในการเดินทาง หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวคามิโคจิ ลองเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณดูได้เลย!
สรุป: ถ้าอยากเห็นคามิโคจิในแบบคลาสสิก สดชื่น และธรรมชาติจัดเต็ม ให้เลือกช่วง พฤษภาคม – ต้นกรกฎาคม แต่ถ้าอยากสัมผัสความโรแมนติกของใบไม้เปลี่ยนสี เลือกมา ปลายกันยายน – ตุลาคม รับรองว่าตกหลุมรักแน่นอน
Credit: kamikochi.org
ไม่มีใครมาเที่ยวคามิโคจิแล้วจะไม่แวะสะพานคัปปะบาชิ สะพานไม้สีน้ำตาลที่ทอดยาวเหนือแม่น้ำอาซูสะ โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาโฮตากะที่ตระหง่าน สะพานนี้ไม่ใช่แค่จุดถ่ายรูปยอดนิยม แต่ยังเป็นหัวใจของคามิโคจิ เพราะตั้งอยู่ตรงกลางแหล่งท่องเที่ยวหลัก รอบ ๆ มีร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักหลายแห่ง
คุณสามารถใช้เวลาชิลล์ ๆ เดินเล่นบนสะพาน ชมวิวแม่น้ำสีฟ้าใส และสูดอากาศสดชื่นได้แบบเต็มปอด ยิ่งถ้าได้มาตอนเช้าหรือเย็นที่แสงอ่อน ๆ สาดผ่านหุบเขา บอกเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกสุด ๆ เป็นกิจกรรมง่าย ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของที่เที่ยวธรรมชาติญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
Credit: kamikochi.org
หนึ่งในเส้นทางเดินป่าคามิโคจิที่สวยและเดินง่ายที่สุดคือเส้นทางจากทะเลสาบ Taisho ไปจนถึงบ่อน้ำ Myojin โดยใช้เวลาราว 2.5–3 ชั่วโมง แบบเดินไป–กลับ เส้นทางนี้เหมาะสำหรับมือใหม่หรือคนที่อยากชมธรรมชาติแบบไม่โหดเกินไป ตลอดทางจะได้เห็นวิวแม่น้ำ ภูเขา ป่าสน และอาจได้เจอสัตว์ป่า เช่น ลิงญี่ปุ่น หรือนกหายากอีกด้วย
แต่ละจุดบนเส้นทางมีมุมถ่ายรูปและม้านั่งพักตลอดทาง บริเวณบ่อน้ำ Myojin ยังมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่คนท้องถิ่นเคารพ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติห้ามพลาด และยังเหมาะมากสำหรับใครที่อยากเที่ยวธรรมชาติในญี่ปุ่นแบบสโลว์ไลฟ์ สามารถเข้าไปดูเส้นทางเดินป่าอื่น ๆ ได้ที่ https://www.kamikochi.org/thingstodo/walking
Credit: kamikochi.org
หากคุณเป็นสายผจญภัยที่อยากสัมผัสความงดงามของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นแบบสุดปอด แนะนำกิจกรรม เดิน Trekking จากคามิโคจิไปยังภูเขา Yakedake (Mt. Yakedake) หนึ่งในเส้นทางที่ท้าทายและน่าจดจำที่สุดในแถบนี้ การปีนเขาใช้เวลาประมาณ 4–6 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความฟิต) เส้นทางผ่านป่า น้ำตก และลาวาเก่า เหมาะกับนักเดินป่ามีประสบการณ์ระดับกลางขึ้นไป
ปลายทางจะอยู่ที่ Yakedake-sanso กระท่อมบนเขาที่สามารถตั้งเต็นท์หรือพักค้างคืนได้ บรรยากาศยามค่ำคืนบนภูเขาสูงนั้นเงียบสงบ เห็นดาวเต็มฟ้าแบบที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของการเที่ยวคามิโคจิที่ไม่ใช่แค่เดินชมวิว แต่คือการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ใครอยากลุย Trekking ที่คามิโคจิแล้วละก็! เราขอแนะนำให้อ่านสิ่งที่ควรรู้และรายละเอียดในเว็บไซต์ของคามิโคจิก่อนนะ
Shinzanso ตั้งอยู่ในหมู่บ้านออนเซน Okuhida ซึ่งไกลจาก Kamikochi ประมาณ 18 ไมล์ (ราว 30 กิโลเมตร) เหมาะกับคนที่อยากเที่ยวคามิโคจิ และแวะผ่อนคลายก่อนหรือหลังด้วยการแช่ออนเซนชิล ๆ ที่นี่โดดเด่นด้วยออนเซนแบบเปิดโล่ง (rotenburo) หลายแห่ง และวิวธรรมชาติสุดอลังโดยรอบ ผู้เข้าพักชื่นชมบรรยากาศ เหมือนได้ “นอนกลางหุบเขา” พร้อมกับการบริการอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน อีกทั้งยังมีที่จอดรถฟรีและ Wi‑Fi ให้บริการด้วย เต็มไปด้วยความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ แบบเรียบง่ายแต่ประทับใจ
Hodakaso Yamano Hotel อยู่ในหมู่บ้านออนเซน Okuhida เช่นกัน ใช้เวลาเพียงประมาณ 60 นาทีด้วยรถบัสถึง Kamikochi เหมาะกับคนที่อยากให้ทริปมีครบทั้งธรรมชาติและความสบาย ที่นี่มีออนเซนกลางแจ้งหลายแห่งให้เลือกผ่อนคลาย พร้อมวิวเทือกเขาแอลป์เหนือและบรรยากาศเหมือนรีสอร์ตแบบยุโรปเหนือ นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำฤดูร้อน เลาจน์ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เสิร์ฟเนื้อ Hida และบริการเช่าจักรยานสำหรับคนที่อยากเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ขั้นสุด
Taisyoike Hotel, Kamikochi คือที่พักที่ตั้งอยู่ “ริมทะเลสาบ Taisho” จุดชมวิวสวยสะกดใจของคามิโคจิ ผลงานธรรมชาติจากภูเขาไฟทำให้เกิดน้ำที่มีต้นไม้แห้งโผล่กลางทะเลสาบ บรรยากาศยามเช้าราวกับภาพฝัน ที่นี่คือ “โรงแรมแห่งเดียวริม Taisho Pond” ซึ่งทำให้คุณแค่เปิดประตูออกมาก็จะได้สัมผัสกับความงามและความเงียบสงบเต็มเปี่ยม มีทั้งวิวทะเลสาบ ภูเขา Yakedake และท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่มองเห็นดาวเต็มฟ้า เหมาะสุด ๆ สำหรับคนรักวิวธรรมชาติ
แม้คามิโคจิ (Kamikochi) จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในที่เที่ยวธรรมชาติญี่ปุ่นที่เข้าถึงไม่ยาก แต่ถ้าอยากให้ทริปของคุณราบรื่น สนุก และได้ภาพสวยกลับบ้านแบบไม่มีพลาด ลองเก็บเคล็ดลับเหล่านี้ไว้ใช้ดูนะ!
คามิโคจิจะเปิดแค่ กลางเดือนเมษายน – กลางพฤศจิกายน เท่านั้น และจะปิดฤดูในหน้าหนาว เพราะหิมะตกหนักและเดินทางอันตราย ดังนั้นอย่าลืมเช็กวันที่ก่อนวางแผนเด็ดขาด
ช่วง Golden Week (ต้นพฤษภาคม), Obon (กลางสิงหาคม) และฤดูใบไม้เปลี่ยนสีปลายตุลาคม จะคนแน่นมาก แนะนำให้เลือกไปวันธรรมดาเพื่อให้ได้บรรยากาศสงบ ๆ แบบต้นฉบับของเที่ยวคามิโคจิ
อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงเร็ว แม้จะเป็นฤดูร้อนก็อาจมีฝนตก หรือหมอกลง ควรใส่รองเท้าเดินป่าหรือรองเท้าผ้าใบที่เกาะพื้นดี และพกเสื้อคลุมบาง ๆ กันฝนไว้ติดกระเป๋าเสมอ
คามิโคจิไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนตัวเข้า ต้องจอดไว้ที่ Hirayu หรือ Sawando Parking แล้วต่อรถบัสหรือแท็กซี่เข้าไปเท่านั้น นี่คือมาตรการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้ธรรมชาติยังคงบริสุทธิ์
วิวที่นี่งดงามทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ Taisho, สะพานคัปปะบาชิ หรือแม่น้ำอาซูสะ อย่าลืมชาร์จกล้องหรือมือถือให้เต็ม และพก power bank ไปด้วย เพื่อไม่ให้พลาดช็อตเด็ด
การเที่ยวธรรมชาติในญี่ปุ่นจะต้องมีจิตสำนึก! ที่นี่มีนโยบาย “ห้ามทิ้งขยะ” อย่างเข้มงวด ไม่มีถังขยะกลางทาง คุณต้องนำขยะกลับไปทิ้งเอง รวมถึงไม่ส่งเสียงดัง และไม่รบกวนสัตว์ป่า
ถ้าพร้อมจะออกไปเที่ยวคามิโคจิแล้ว อย่าลืมจองตั๋วเครื่องบินและจองที่พักใกล้คามิโคจิกับ Traveloka ที่เดียวครบจบทั้งเที่ยวบินและที่พักด้วยราคาน่ารักสบายกระเป๋า แถมมีโปรโมชั่นเด็ด ๆ มาแจกเป็นประจำ!