ทิเบต ดินแดนบนหลังคาโลกที่หลายคนอาจยังไม่เคยเก็บให้อยู่ในลิสต์ แต่น่าไปกว่าที่คิด! ใครกำลังหาโลเคชั่นเที่ยวแบบไม่ซ้ำ ขอให้ลองหันมามองทิเบตดูสักนิด เพราะที่นี่เป็นที่ที่ทั้งมีกลิ่นอายวัฒนธรรมที่เข้มข้นแบบเกินต้าน ภูเขาหิมะอลังๆ และวัดสวยๆ บรรยากาศคือดีย์! ไม่ต้องสายบุญก็อินได้ ไม่ต้องสายลุยก็เที่ยวเพลิน เพราะแค่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ใจก็ฟูแล้ว!
วันนี้ Traveloka ขอพาทุกคนออกเดินทางไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวทิเบตยอดฮิต พร้อมแนะนำ ที่พักในทิเบต ร้านอาหารเด็ดๆ และวิธีการเดินทางแบบครบจบ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปเปิดโลกกับ 12 ที่เที่ยวทิเบต 2025 พร้อมกันเลย!
จะไม่เปิดทริปทิเบตที่นี่ก่อนก็คงไม่ได้! พระราชวังโปตาลาคือแลนด์มาร์กเบอร์หนึ่งของลาซา และเป็นไอคอนสำคัญที่สะท้อนตัวตนของทิเบตได้ชัดที่สุด สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์ซงจ้าน กัมโป และยังคงความยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิเบตแท้ๆ และบรรยากาศรอบๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาของคนท้องที่
ตัวพระราชวังแบ่งเป็น 3 โซน สีขาวคือเขตสงฆ์ สีแดงใช้ประกอบพิธีกรรม และสีเหลืองเป็นส่วนเชื่อมระหว่างทั้งสองโซน หากเดินขึ้นไปถึงด้านบน จะได้เห็นวิวเมืองลาซาแบบเต็มตา พร้อมลมเย็นๆ จากเทือกเขาหิมะที่โอบล้อมอยู่ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ประดิษฐานพระศพขององค์ดาไลลามะ รวมถึงมีห้องสมุดเก็บพระไตรปิฎกไว้ด้วย ที่นี่ไม่ใช่แค่หมุดหมายของสายบุญ แต่เป็นสถานที่ที่ควรมาสักครั้งในชีวิต เพราะจะได้ซึมซับเอเนอร์จี้ดีๆ แบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นจริงๆ ใครมาเที่ยวทิเบตแล้วไม่แวะ บอกเลยว่าพลาดของแท้!
จะไม่เปิดทริปทิเบตที่นี่ก่อนก็คงไม่ได้! พระราชวังโปตาลาคือแลนด์มาร์กเบอร์หนึ่งของลาซา และเป็นไอคอนสำคัญที่สะท้อนตัวตนของทิเบตได้ชัดที่สุด สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์ซงจ้าน กัมโป และยังคงความยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิเบตแท้ๆ และบรรยากาศรอบๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาของคนท้องที่
ตัวพระราชวังแบ่งเป็น 3 โซน สีขาวคือเขตสงฆ์ สีแดงใช้ประกอบพิธีกรรม และสีเหลืองเป็นส่วนเชื่อมระหว่างทั้งสองโซน หากเดินขึ้นไปถึงด้านบน จะได้เห็นวิวเมืองลาซาแบบเต็มตา พร้อมลมเย็นๆ จากเทือกเขาหิมะที่โอบล้อมอยู่ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ประดิษฐานพระศพขององค์ดาไลลามะ รวมถึงมีห้องสมุดเก็บพระไตรปิฎกไว้ด้วย ที่นี่ไม่ใช่แค่หมุดหมายของสายบุญ แต่เป็นสถานที่ที่ควรมาสักครั้งในชีวิต เพราะจะได้ซึมซับเอเนอร์จี้ดีๆ แบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นจริงๆ ใครมาเที่ยวทิเบตแล้วไม่แวะ บอกเลยว่าพลาดของแท้!
ถ้ามาเที่ยวทิเบตแล้วไม่ได้แวะกราบวัดโจคัง ลาซา ก็เหมือนยังมาไม่ถึง! วัดศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของลาซาแห่งนี้ เปรียบได้กับหัวใจของชาวทิเบต เพราะทั้งคนท้องถิ่นและผู้แสวงบุญจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลมากราบไหว้กันไม่ขาดสาย ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระศากยมุนีวัย 12 พรรษา องค์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าเจ้าหญิงเหวินเฉิงนำมาจากจีนเมื่อกว่า 1,300 ปีก่อน และได้รับความเคารพบูชาอย่างสูงสุดในทิเบต ด้านสถาปัตยกรรมก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว เพราะผสมผสานศิลปะจากทิเบต จีน เนปาล และแคชเมียร์เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ใครที่ชอบเที่ยวแบบมีเรื่องราว ชอบวัฒนธรรมลึกๆ วัดนี้คือจุดที่ต้องมาปักหมุดให้ได้เลย!
ออกจากวัดโจคังแล้วอย่าเพิ่งรีบไปไหน แวะเดินเล่นต่อที่ Barkhor Street ถนนโบราณที่ล้อมรอบวัดไว้พอดี ที่นี่เป็นทั้งเส้นทางแสวงบุญและถนนสายวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาที่สุดในลาซา ชาวทิเบตเชื่อว่าถนนแปดเหลี่ยมเส้นนี้คือเส้นทางจงกรมจากชาตินี้สู่ชาติหน้า บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายทิเบตแท้ๆ ทั้งเสียงสวดมนต์และกลิ่นธูปจางๆ ได้ฟีลสุดๆ
นอกจากจะได้อินกับความขลังแบบทิเบตแท้ๆ แล้ว Barkhor Street ยังเหมาะกับสายช้อปไม่แพ้กัน เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าโลคอลและแผงขายของพื้นเมือง ทั้งผ้าทอ เครื่องหอม ชุดพื้นเมือง ไปจนถึงของหายากอย่าง Thankga ภาพวาดม้วนศิลปะทิเบตที่ขึ้นชื่อ และพรมทิเบต ที่โด่งดังเรื่องความนุ่ม ทนทาน สีไม่ตก เหมาะทั้งใช้งานและเก็บสะสม แถมยังมีของจากอินเดียและเนปาลให้เลือกอีกเพียบ ใครอยากได้ของฝากแบบมีสตอรี่ หรือหามุมถ่ายรูปชิคๆ ท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมทิเบต ต้องแวะ!
ตำหนักนอร์บุหลิงฆาหรือที่เรียกว่าสวนอัญมณี คืออีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของทิเบตที่สายประวัติศาสตร์ต้องแวะ! ที่นี่เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนขององค์ดาไลลามะ ตั้งอยู่กลางสวนสวยในเมืองลาซา ตำหนักนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1750 โดยดาไลลามะองค์ที่ 7 เพื่อเป็นที่พักผ่อนสบายๆ ยามหน้าร้อน แล้วในสมัยต่อๆ มา องค์ดาไลลามะรุ่นใหม่ๆ ก็ทยอยต่อเติมสร้างตำหนักของตัวเองเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นตำหนักใหญ่อลังการกว่า 370 ห้อง!
หนึ่งในไฮไลต์คือ ตำหนักของดาไลลามะองค์ที่ 14 ซึ่งท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ถึง 2 ปีก่อนจะลี้ภัยไปอินเดีย ภายในตำหนักยังคงรักษาของใช้และบรรยากาศแบบเดิมไว้ให้ชมกันแบบใกล้ชิดสุดๆ ตอนนี้นอร์บุหลิงฆาเปิดเป็นสวนสาธารณะให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้มาเดินเล่น นั่งชิล สูดอากาศดีๆ กลางวิวสวนสไตล์ทิเบต บรรยากาศดีจนเผลอลืมไปเลยว่าอยู่กลางเมือง!
ใครมาเที่ยวทิเบตแล้วอยากสัมผัสวิวธรรมชาติ ต้องห้ามพลาด! Namtso หนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของทิเบต และใหญ่เป็นอันดับสองของจีน! ความสวยเกินต้านอยู่ที่น้ำสีฟ้าใสตัดกับท้องฟ้าและเทือกเขาหิมะด้านหลัง สวยจนต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บให้ได้ทุกมุม ยิ่งใครมาเที่ยวทิเบตฤดูร้อน บอกเลยว่ายิ่งฟิน! ช่วงนี้น้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมฟ้า ตัดกับฉากหลังเทือกเขา Nyenchen Tanglha ทางทิศใต้แบบลงตัวสุดๆ แถมตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน ยังมีฝูงนกหลากชนิดและนกกระเรียนคอดำใกล้สูญพันธุ์อพยพมาให้ได้ชมอีกด้วย ใครแพลนจะแวะที่นี่ แนะนำเตรียมเสื้อกันลมกับกล้องดีๆ ไปให้พร้อม รับรองว่าคุ้มทุกชอตเพราะวิวแบบนี้ มีให้เห็นแค่ที่ Namtso เท่านั้น!
ถ้าอยากเห็นยอดเอเวอเรสต์ใกล้ๆ แบบไม่ต้องปีนเขาให้เหนื่อย ฝันนี้เป็นจริงได้ที่ Everest Base Camp ฝั่งทิเบต! จุดชมวิวระดับตำนานที่มองเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ได้แบบเต็มตา เหมาะกับสายลุยที่อยากสัมผัสเสน่ห์ของเทือกเขาหิมาลัย แต่ไม่อยากแบกเป้ขึ้นดอยหลายวัน
ภูเขาเอเวอเรสต์พาดผ่านพรมแดนเนปาล–ทิเบต จึงมีแคมป์อยู่สองฝั่ง ฝั่งเนปาลต้องเดินเท้าเท่านั้น ส่วนฝั่งทิเบตเดินทางง่ายกว่า เพราะนั่งรถเข้าไปถึงได้เลย แถมวิวฝั่งนี้ก็กว้างและอลังการไม่แพ้กัน ระหว่างทางยังสามารถแวะ Rongbuk Monastery หนึ่งในวัดวัดทิเบตที่อยู่สูงที่สุดในโลกได้ด้วย แถมจากตรงนี้จะเห็นวิวเอเวอเรสต์แบบไม่มีอะไรมาบัง สวยจนลืมหายใจ! ใครมีความฝันอยากพิชิตเขาเอเวอเรสต์แบบไม่ต้องปีน ก็ต้องมาฝั่งทิเบตนี่แหละ ถูกใจแน่นอน!
ถ้าใครชอบบรรยากาศภูเขาสูง วิวอลังๆ และการเดินทางสุดท้าทายลองแวะไปอ่าน Leh Ladakh สวรรค์ของนักผจญภัย ดินแดนมหัศจรรย์บนเทือกเขาหิมาลัย ได้เลย บอกเลยว่าฟีลใกล้เคียงกัน แต่เส้นทาง ผจญภัย และเสน่ห์ไม่เหมือนใคร!
พาเที่ยวทิเบตแบบสายมูต้องเลิฟกับ ภูเขาไกรลาส (Mount Kailash) ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันตกของทิเบต ที่สูงถึง 22,020 ฟุต และมีอายุกว่า 50 ล้านปี! ที่นี่ไม่ใช่แค่หนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย แต่ยังติดอันดับยอดเขาสูงระดับโลกอีกด้วย นอกจากจะสูงและสวยแบบธรรมชาติสุดๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นภูเขาในตำนานที่มีความสำคัญกับหลายศาสนา ทั้งในศาสนาฮินดูที่เชื่อว่าเป็นที่ประทับของพระศิวะ ในพุทธศาสนาก็ว่ากันว่าเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในป่าหิมพานต์ ส่วนในศาสนาเชนก็ให้ความเคารพเช่นกัน หลายคนถึงกับเชื่อว่านี่แหละคือเขาพระสุเมรุใจกลางจักรวาล
ทุกปีจะมีผู้แสวงบุญจากทั่วโลกเดินเวียนรอบภูเขา ระยะทางกว่า 52 กิโลเมตร เพื่อขอพรและสะสมบุญ เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่ทั้งสงบและทรงพลัง ใครอินกับเรื่องศรัทธา พลังธรรมชาติ หรือแค่อยากว้าวกับวิวแบบที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ต้องลองไปเห็นด้วยตัวเองสักครั้ง!
ไป Mount Kailash แล้ว อย่าลืมแวะต่อที่ Lake Manasarovar หรือ ทะเลสาบหม่าผางยงชั่ว ที่อยู่ไม่ไกลกัน ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต เชื่อกันว่าน้ำใสๆ ของทะเลสาบนี้มีพลังในการชำระจิตใจ ทุกปีชาวพุทธและฮินดูจากทั่วโลกจะมาแสวงบุญ เดินเวียนรอบทะเลสาบระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 4–5 วัน เพื่อสะสมบุญและขจัดความทุกข์ทางใจ
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ต้องพูดถึงคือความใสของน้ำที่นี่ ที่ถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็น ทะเลสาบที่ใสที่สุดในจีน มองทะลุได้ลึกถึง 14 เมตร! ยืนอยู่ริมฝั่งจะเห็นแนวเทือกเขาหิมาลัยสะท้อนบนผิวน้ำเหมือนกระจก โดยเฉพาะช่วงกลางวันที่ฟ้าใสตัดกับเมฆขาว หรือช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์สีชมพูอมส้มสะท้อนลงน้ำได้ภาพละมุนแบบเกินต้าน!
อีกหนึ่งทะเลสาบที่สวยไม่แพ้ที่อื่นๆ ในทิเบต! Yamdrok Lake หรือ ยัมดรก ยัมโซ คือทะเลสาบน้ำจืดศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต สีฟ้าอมเขียวของน้ำตัดกับแนวเขารอบ ๆ ได้แบบลงตัวสุด ๆ วิวคือสวยสะกดจนหยุดถ่ายรูปไม่ได้ ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำพรหมบุตร ในเขตเมือง Shigatse มีขนาดใหญ่ถึง 638 ตารางกิโลเมตร และยาวกว่า 130 กิโลเมตร ถือเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดทางใต้ของเทือกเขาหิมาลัย
ใครอยากชมวิวแบบจัดเต็ม แนะนำขับรถขึ้นจุดชมวิวบนถนนสายยามดรก หรือจะนั่งเล่นชิลๆ ริมน้ำก็ได้ฟีลสุดๆ โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือปลายฤดูร้อน น้ำใส เขียวชอุ่ม ฟ้าเปิด ถ่ายรูปออกมาสวยเหมือนอยู่สวิตเซอร์แลนด์เลย! แถมถ้าใครมีแพลนไป Everest Base Camp ทะเลสาบนี้ก็อยู่ทางเดียวกันด้วย ถือเป็นอีกจุดแวะพักที่สวยจนต้องจดไว้ในลิสต์เลย!
อารามซัมเย่ เป็นวัดพุทธวัชรยานแห่งแรกของทิเบต สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยาร์ลุง ห่างจากลาซาราว 200 กม. รายล้อมไปด้วยภูเขาเล็กและใหญ่ บรรยากาศสงบสุดๆ ไฮไลต์ของวัดนี้คือ วิหาร Wuzi Hall อาคารสามชั้นที่รวมสถาปัตยกรรม 3 สไตล์ไว้ในที่เดียว ชั้นล่างเป็นแบบทิเบต ชั้นกลางแบบจีน และชั้นบนแบบอินเดีย จนได้ฉายา “วิหารสามลีลา” ภายในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องประวัติศาสนาและชีวประวัติของพระปัทมสัมภวะ ใครชอบศิลปะหรือสายบุญต้องห้ามพลาดเลย!
อาณาจักรโบราณกู่เก๋อ (Guge Kingdom) เมืองลับแลกลางหุบเขาใน Ngari ทางตะวันตกของทิเบต ที่เคยยิ่งใหญ่รุ่งเรืองสุดๆ เมื่อพันปีก่อน! กู่เก๋อเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรม ก่อนจะล่มสลายเพราะความขัดแย้งทางศาสนาในศตวรรษที่ 17 แล้วเงียบหายไปจากประวัติศาสตร์ จนมีนักสำรวจชาวอิตาลีไปพบเข้าในศตวรรษที่ 20
จุดที่ทำให้หลายคนตื่นตาคือ ซากเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบด้านแบบพาโนรามา และภายในเมืองยังมีซากโบราณสถานกว่า 1,400 แห่ง ทั้งถ้ำ 879 ถ้ำ บ้านโบราณ เจดีย์ และแนวอาคารที่ยังพอเห็นเค้าโครงเดิมอยู่เลย สิ่งที่น่าทึ่งคือถ้ำแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันใต้ดิน แถมรอบเมืองยังมีชั้นดินและหินที่ลมพัดสะสมจนกลายเป็นกำแพงที่เกิดจากธรรมชาติรูปร่างแปลกตา ถ่ายรูปออกมาเหมือนอยู่ในฉากหนัง หรือหลุดเข้าไปในเมืองลับแลกลางทะเลทรายยังไงยังงั้น!
จบทริปทิเบตแบบสวยๆ ต้องแวะ Gyantse เมืองเล็กแต่เสน่ห์ล้นเหลือ! ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายทิเบตดั้งเดิม เดินเล่นได้ชิลๆ ทั้งวันแบบไม่ต้องเร่งรีบ ไฮไลต์คือ อาราม Palcho Corten ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ล้อมรอบด้วยกำแพงโบราณ ขึ้นไปแล้วจะได้เห็นวิวเมืองแบบเต็มตา ถือเป็นจุดถ่ายรูปที่ดีที่สุดของเมืองเลย เมืองกันเซเหมาะกับสายที่ชอบเที่ยวแบบโลคอล อยากสัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่าย ดูชาวบ้านใช้ชีวิตจริงๆ ไม่จัดฉาก ถ่ายรูปแนวสตรีทก็เท่ วิวธรรมชาติก็แจ่ม เป็นเมืองที่ยังไม่แมส แต่ฟีลดีมากมาก!
ถ้าใครกำลังวางแผนไปเที่ยวทิเบต แล้วกำลังมองหาร้านอาหารเด็ดๆ ที่ทั้งอร่อย บรรยากาศดี และได้ฟีลท้องถิ่นแบบแท้จริง มาดู 3 ร้านแนะนำที่ห้ามพลาดได้เลย
ใครที่อยากสัมผัสรสชาติท้องถิ่นแบบแท้ๆ ต้องแวะร้านนี้! Tibetan Family Kitchen อยู่แถว Bhakor Street เดินจาก Jokhang Temple แค่แป๊บเดียว ตัวร้านเป็นบ้านสองชั้น มีดาดฟ้าวิวดี มองเห็นวัดได้เลย บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนมากินข้าวบ้านญาติ อาหารทิเบตที่ต้องลองคือ momo ไส้เนื้อจามรี บะหมี่ Amdo และเมนูมังสวิรัติจัดเต็ม แต่ที่เก๋ไปกว่านั้นคือ ที่นี่มีเปิดคลาสสอนทำอาหารด้วยนะ! เรียนแค่ 2 ชั่วโมง (100 หยวน) ได้ลองทำ momo เองแล้วกินมื้อค่ำฝีมือตัวเองเลย น่าลองสุดๆ!
หลังเดินเล่นแถว Jokhang Temple มาทั้งวัน แนะนำให้แวะฝากท้องที่ Lhasa Kitchen ร้านนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดเลย ขึ้นบันไดวนไปชั้น 2 จะเจอโซนนั่งสบายๆ พร้อมวิวจัตุรัสตรงหน้าวัดแบบพาโนรามาเลย อาหารมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งทิเบต อินเดีย และเนปาล ใครสายเครื่องเทศต้องลอง masala curry แกงไก่ หรือ vegetable dopiaza อร่อยจัดจ้านแบบต้นตำรับ บรรยากาศเรียบง่าย คนท้องถิ่นก็มากินกันเยอะ เป็นร้านที่นั่งคุยกันได้เรื่อยๆ กินได้อิ่มๆ แล้วไปเดินเที่ยวต่อแบบชิลๆ
ใครอยากหาร้านดินเนอร์สวยๆ ฟีลดีในลาซา ต้องจองโต๊ะที่ House of Shambhala! ร้านนี้อยู่ในโรงแรมชื่อเดียวกันเลย บรรยากาศอบอุ่น เงียบสงบ เหมาะกับมื้อพิเศษแบบสุดๆ เสิร์ฟอาหารทิเบตแบบต้นตำรับ รวมถึงอาหารเอเชียฟิวชัน และเมนูมังสวิรัติที่อร่อยเกินคาด เมนูเด็ดได้แก่ ซุปเนยทิเบต บะหมี่ผัดสไตล์จีน หรือจะสั่งเครื่องดื่มชิลๆ แล้วไปนั่งดาดฟ้าชมพระอาทิตย์ตกพร้อมวิวเมืองก็โรแมนติกสุดๆ
ถ้าใครกำลังมองหา ที่พักในทิเบต ที่มาตรฐานดี พักแล้วอุ่นใจ Hampton by Hilton สาขา Shannan เป็นที่พักยอดนิยมที่ได้ครบทุกอย่าง! โรงแรมสะอาด ห้องกว้าง เตียงนุ่มกำลังดี พร้อมอาหารเช้าอร่อยครบตามมาตรฐานเครือ Hilton บริการก็เป็นมิตรสุดๆ จะมาเที่ยวทิเบตคนเดียว มาคู่ หรือมากับครอบครัวก็ลงตัว เหมาะมากสำหรับคนที่อยากเริ่มทริปในทิเบตแบบสบายๆ และไม่ต้องกังวลเรื่องที่พัก
China
Hampton by Hilton Shannan
Lhoka (Shannan)
ดูราคา
สายลักชัวรีต้องเลิฟ! The St. Regis Lhasa Resort ที่นี่คือหนึ่งใน โรงแรมทิเบตที่ดีที่สุดในลาซา (Lhasa) อยู่ใกล้แลนด์มาร์กหลักอย่างพระราชวังโปตาลา ภายในโรงแรมหรูหราแบบพรีเมียมตั้งแต่ล็อบบี้ยันห้องพัก มีสปาเกลือหิมาลัยให้แช่ตัวผ่อนคลาย พร้อมวิวเทือกเขาหิมะสุดจากห้องพักด้วย ถ้าอยากได้ประสบการณ์พักผ่อนที่พิเศษสุดๆ ที่นี่คือใช่เลย!
China
เดอะ เซนต์ รีจิส ลาซา รีสอร์ท
Chengguan Qu
THB 10,241.29
THB 7,680.98
ใครมีงบจำกัดแต่อยากพักดี ๆ ต้องจดชื่อโรงแรมนี้ไว้! Lhasa Snow Paradise International Hotel อยู่ใกล้พระราชวังโปตาลา เดินถึงได้สบายๆ ห้องพักกว้าง เตียงนุ่ม มีทั้ง Wi-Fi น้ำอุ่น และวิวเมืองแบบเบาๆ ให้ได้ฟีลสบายกระเป๋าแต่ไม่ลดคุณภาพ เหมาะกับสายเที่ยวแบบชิลประหยัด ที่อยากเก็บแรงไว้ลุยแลนด์มาร์กในลาซาแบบครบทุกจุด!
China
Lhasa Snow Paradise International Hotel (Potala Palace)
Lhasa
ดูราคา
การไปเที่ยวทิเบตจากไทย อาจจะไม่ได้มีไฟลต์ตรงแบบเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ แต่ก็เดินทางไม่ยากเลย แค่ต้อง วางแผนเที่ยวทิเบตล่วงหน้าสักนิด โดยทั่วไปเราจะบินจากกรุงเทพฯ ไปลงเมืองหลักของจีนก่อน เช่น:
Sun, 22 Jun 2025
China Eastern Airlines
กรุงเทพ (BKK) ไป เฉิงตู (CTU)
เริ่มจาก THB 3,317.28
Sat, 21 Jun 2025
China Southern Airlines
กวางเจา (CAN) ไป เฉิงตู (CTU)
เริ่มจาก THB 5,747.66
Thu, 3 Jul 2025
China Eastern Airlines
เชียงใหม่ (CNX) ไป เฉิงตู (CTU)
เริ่มจาก THB 4,000.00
จากนั้นค่อยต่อเครื่องหรือ นั่งรถไฟสาย Qinghai–Tibet Railway เข้าสู่ลาซา (Lhasa) เมืองหลวงของทิเบต เส้นทางนี้คือเส้นในยอดนิยมของใครหลายๆ คนเพราะได้ฟีอีกแบบ และวิวข้างทางคือพีคมาก เห็นทั้งภูเขาหิมะ จามรี ทุ่งหญ้า และฟ้าสวยๆ ตลอดทาง
อ่านต่อ:
การเดินทางในทิเบตจะต่างจากเมืองจีนทั่วไปนิดหน่อย เพราะมีข้อกำหนดเรื่องเส้นทางและความปลอดภัย นักท่องเที่ยวต่างชาติมักต้องเดินทางกับเอเจนซี่ทัวร์ที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งทางทัวร์ก็จะมีการจัดรถพร้อมไกด์ให้ทั้งหมด
วิธีเดินทางหลักๆ ภายในทิเบต:
คำถามยอดฮิตว่า เที่ยวทิเบตช่วงไหนดี คำตอบคือ เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม คือช่วงที่อากาศดีที่สุด
ช่วงนี้เหมาะกับการเที่ยวธรรมชาติทิเบต ทั้งทะเลสาบ นั่งรถชมวิว หรือแม้แต่ trekking รอบ Mount Kailash
ส่วนทิเบตหน้าหนาวน่าเที่ยวไหม ขอตอบว่า สวยแต่โหด! ช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม อากาศที่ทิเบตติดลบ ถนนบางเส้นปิด ไม่เหมาะกับมือใหม่ แต่ถ้าอยากเห็นหิมะขาวโพลนและได้เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆ ก็ถือว่าน่าสนใจอยู่
ก่อนจะไปเที่ยวทิเบตลองเช็กลิสต์เหล่านี้ไว้ให้ครบ จะช่วยให้เที่ยวสบายกว่าเดิมแน่นอน
ทิเบตอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 3,500 – 5,000 เมตร หลายคนอาจมีอาการแพ้ความสูง (Altitude Sickness) แนะนำให้