เชื่อว่าหลายคนต้อง อยากร้องเฮดังๆ เมื่อถึงวันหยุดยาว !
ที่เหมือนกับเรา ทันใดนั้น ได้ยินเสียงว่า ”เธอ.. ไปเที่ยวกันเถอะ “
แทบร้องกรี๊ดดดด ได้เวลาวางแพลนเที่ยวเลยค่ะ ชาร์จพลังในวันหยุดยาว แพลนไปเที่ยวอะไรที่มันเขียวๆ กันซะหน่อยดีกว่า ^^ มาลงเอยที่อุดรธานี เราก็ออกจะตื่นเต้นไม่น้อยเพราะว่าเป็นที่ที่ยังไม่เคยไปมาก่อน
เริ่มต้นทริปด้วยการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักก่อนเลย ด้วยการจองที่ด่วนจี๋ก็ได้ตัวช่วยอย่าง Traveloka นี่แหละ ราคาถูกกว่าที่อื่นด้วย เราจองแบบแพ็คเก็จที่มีทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักไปอุดรฯ เป็นช่วง high season ตั๋วเครื่องบินกับที่พักก็จะแพงหน่อย จองกับแอพพลิเคชั่นTravelokaนี่แหละค่ะ จองผ่านมือถือสะดวกมาก แถมใช้ Code รหัสส่วนลดถูกลงไปอีก ^v^
วันแรกของทริป เราออกเดินทางแต่เช้าตรู่ด้วยสายการบิน Thai Lion Air มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุดรฯเลย นั่งเพลินๆ ยังไม่ทันง่วงก็ถึงท่าอากาศยานจังหวัดอุดรแล้ว ใช้เวลาอยู่บนเครื่องแค่ราวๆ 1 ชั่วโมง 10 นาที เท่านั้นเอง
ทันทีที่เครื่องแตะรันเวย์ก็เริ่มรู้สึกหิว เพราะฉะนั้นก่อนเที่ยวก็ต้องแวะเติมพลังกันก่อน
ไปถึงเมืองอุดรถ้าไม่ลองไปกิน VT แหนมเนือง ต้องกลับไปกินอีกรอบนะคะ ไม่งั้นจะถือว่า "ไม่ถึงอุดร" เพราะเป็นของดีเมืองอุดรธานีที่ห้ามพลาดเด็ดขาด แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ แซ่บหลายเด้อ
ขอขอบคุณภาพจาก Facebook ของ V1 Room Hotel
ขอพักเอาแรง แป๊ปค่ะ !! เราเลือกพักที่ V1 Room Hotel ที่พักสุดเก๋ สะอาดและใหม่มากๆ ใจกลางเมือง ตั้งอยู่ใกล้กับเซ็นทรัลพลาซ่า อุดรธานี เดินประมาณ 5 นาทีถึง อย่างที่บอกค่ะ ห้องน่ารักแล้ว ราคาก็น่ารักมาก เริ่มต้นคืนละ 500 บาท จองที่พักจากแอพพลิเคชั่น Traveloka นี่แหละค่ะ ราคาเค้าดีจริงๆ !!
พอแดดร่มลมตก ถึงเวลาเที่ยวเล่นแล้ว มาอุดรทั้งทีก็ต้องมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอุดรกันหน่อย ที่นี่จัดเป็นเมืองเศรษฐกิจของภาคอีสานตอนบนเลยก็ว่าได้ คนอุดรยังบอกที่นี่คล้ายๆ กรุงเทพเลยล่ะ แค่อยู่อีสาน คนจีนเยอะมาก ศาลปู่-ย่า เป็นอีกที่หนึ่งที่ต้องมาเลย
ด้านหลังศาลปู่-ย่า ก็จะมีศูนย์วัฒนธรรมจีน อุดรธานีด้วย ด้านในจะมีร้านค้า พิพิธภัณฑ์ ประวัติความเป็นมาของคนจีนที่มายู่ในอุดรธานี บรรยากาศรมรื่น เหมาะแก่การพักผ่อน การตกแต่งด้านในเหมือนหลุดเข้าไปในเมืองจีนเลย ในน้ำมีปลาคลาฟ์ว่ายเต็มไปหมด สามารถป้อนอาหารจากขวดนมให้ได้ด้วยนะคะ "3"
จากนั้นขับรถมาแวะไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคล ณ วัดโพธิสมภรณ์ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอุดรธานี สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ปลายรัชกาลที่ 5 ภายในวัดมีพระบมธาตุเจดีย์ที่สวยงาม มาถึงอุดรธานีต้องมากราบไหว้พระสักการะ
จากวัดโพธิสมภรณ์ เราเดินทางต่อไปยัง "ศาลหลักเมือง" ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญของชาวอุดรฯ สำหรับผู้ที่ได้มาสักการะ แนะนำว่า ศาลหลักเมืองเป็นสถานที่ๆ มีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านความมั่นคง ทั้งหน้าที่การงาน การเงิน การดำเนินชีวิต
พอตกเย็น เริ่มหิวก็ไปกินปลาเผาย่านเซ็นเตอร์พ้อยด์ แถว UD Town ตรงนั้นจะมีปลาเผาอยู่หลายร้าน เลือกได้ตามใจชอบเลยล่ะ ทานเสร็จก็สามารถเดินช้อปปิ้งต่อได้เลย // หมดเรี่ยวแรงกันไปหนึ่งวัน มานอนพักเอาแรงไปเที่ยวชิวๆ นอกเมืองในวันพรุ่งนี้บ้าง
วันที่ 2 ตื่นแต่เช้าตรู่ วันนี้เราตั้งใจจะขับรถออกไปนอกเมืองซึมซับบรรยากาศแบบธรรมชาติ ที่ที่เราจะไปคือหมู่บ้านกลางหุบเขา “คีรีวงกต” เราเลือกมาเที่ยวที่นี่ด้วยการอ่านจากรีวิวรีวิวหนึ่ง คือมี ล่องแก่งรถอีแต๊ก โอ้ว! มันน่าสนุกมาก >< ถ้าทุกคนอยากรู้อยากไปสัมผัสความสโลวไลฟ์ ที่หมู่บ้านน่ารักที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาแห่งนี้ (น่าอิจฉาเชียวหล่ะ)ที่ได้ไปสักครั้งต้องหลงเสน่ห์ในความเรียบง่าย และเงียบสงบอย่างแน่นอน
ระหว่างทาง วิวสองข้างทางก็จะเป็นทุ่งนา สลับป่าเขา สลับหมู่บ้าน เห็นถึงความเขียวขจี มองแล้วสบายตาสบายใจมากชุ่มชื่นไปหมด ประมาณ 2 ชั่วโมงตามเวลาเป๊ะเราก็มาถึงที่คีรีวงกต ซึ่งผู้ใหญ่บ้านเตรียมรถอีแต๊กให้เราเรียบร้อยแล้ว
พอถึงปุ๊ป กระโดดขึ้นอีแต๊กทันทีจ๊า !!! ระหว่างทาง จะได้ยินเสียง แต๊ก แต๊ก แต๊ก ตลอดทาง...
รถอีแต๊กพาเราวิ่งฝ่าลำธาร ซึ่งไม่ต้องถามเลยว่ามันดีขนาดไหน? มันดีมากมากเลยค่ะแม่.... เอาจริงนะ! มันเหมือนได้ชาร์จพลังกับธรรมชาติ อยากแนะนำให้ทุกคนได้มามาก แถมโคตรสโลวไลฟ์ ถึงแม้ว่าอากาศใกล้เที่ยงมันจะร้อนไปหน่อยก็ตาม แต่ถ้าได้เอาเท้าจุ่มน้ำเย็นๆ มันก็ช่วยคลายร้อนได้อย่างดีเชียวหล่ะ!!
หลุดจากลำธาร รถอีแต๊กก็พาวิ่งผ่านสวนยางพาราของชาวบ้าน จนมาถึงที่หมายหลักของเรา “น้ำตกห้วยช้างพลาย” สวยมากๆ อากาศก็ดีมากด้วยเช่นกัน
แถมระหว่างทางเราได้สมาชิกร่วมทริปมาด้วยอีก 1 ตัว วิ่งตามมาตลอดทาง น่ารัก
ไม่ทันไร…อาหารทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย บนภาชนะที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น จาน ช้อน แก้วน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ ที่รองอาหารจากใบตอง มีความเก๋เหมาะแก่การถ่ายรูปมาก
เมนูทั้งหมดจะมาพร้อมกับข้าวเหนียวร้อนๆ ที่นึ่งจากกระบอกไม้ไผ่เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นอาหารที่ดูธรรมดา แต่รสชาติ ฟินมากเว่อร์! หลังจากถ่ายภาพเล่นอยู่พักใหญ่ ก็กลับมายังที่หมู่บ้าน... ได้รูปหลายช็อตกันเลยทีเดียว^^
อีกหนึ่งสถานที่ๆ ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนที่อุดร คือ วัดป่าภูก้อน จะได้พบกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแห่งพุทธศิลป์และความเงียบสงบของ วัดป่าแห่งภาคอีสานแห่งนี้ ที่คงรักษาไว้ซึ่งพื้นป่า สัตว์ป่า และพรรณไม้นานาชนิด บนเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ ขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งรสพระธรรมคำสอนสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ที่ต้องการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ขัดเกลาจิตใจอีกด้วย หากมีโอกาสก็อย่าลืมแวะเวียนไปสัมผัสกันดูนะคะ
พอตกเย็นเราไปกันต่อที่ วัดผาตากเสื้อ ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงที่วัด ไฮไลท์ของที่นี่เลยก็จะเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขง สกายวอล์ค วิวตรงหน้าเราตอนนั้นคือสวยมาก
เดินเล่นจนมืดค่ำ ก็ชวนกันมากินบะหมี่เจ้าดัง “ราชาบะหมี่กวางตุ้ง” ลองสั่ง บะหมี่เกี๊ยวหมูแดง คือรสชาติดี หากใครผ่านมา แวะมาลิ้มลองกันได้
วันที่ 3 และแน่นอนก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไป ทะเลบัวแดง ขอแอบฝากท้องมื้อเช้ากับ “ร้านข้าวเปียก” ที่ขึ้นชื่อของเมืองอุดรฯ กันหน่อยถ้ามาอุดรธานี ต้องไม่พลาดร้านนี้ เส้นก๋วยจั๊บเวียดนาม ที่ทางร้านทำเอง จะมีความเหนียวนุ่ม รสชาติอร่อย ราคาไม่แรง ยังไงลองแวะทานกันได้นะคะ หนึ่งตัวเลือกที่เราเอามาฝาก
และแล้ว..ก็เดินทางมาถึง “ทะเลบัวแดง” อีกหนึ่งไฮไลท์เลย สำหรับทะเลบัวแดงที่หนองหานแห่งนี้ เป็นทะเลน้ำจืดขนาดหมื่นไร่ เป็นทุ่งทะเลบัวแดงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใครที่จะเดินทางมาชม แอบกระซิบนิดนึงว่า ดอกบัวจะเริ่มบานช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี (เดือนมกราคมจะบานเยอะที่สุด โดยจะบานตั้งแต่เวลา 06.00-11.00 น. แพลนกันดีๆ น๊า)
เอาล่ะ ถึงเวลานั่งเรือไปชมกันแล้วว เราเลือกนั่งเรือหางยาว คนละ 100 บาท นั่งได้ 2-3 คน
บรรยากาศภายในบึงลมพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น เป็นบึงธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพันธุ์นกพันธุ์ปลาที่นี่นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือนมาก ๆ เราใช้เวลาสำหรับการชมทุ่งบัวแดงประมาณ 2 ชั่วโมง เพลินมาก ^^ ก็วนกลับมาที่ท่าเรือบ้านเดียมอีกครั้ง
ภูฝอยลม ควรค่าแก่การมาเยือน…บริเวณนี้เป็นพื้นที่เริ่มต้นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่หลายเส้นทางบนภูฝอยลม ผาเหยียบโลก เป็นเส้นทางที่มีความลาดชันสูงมาก มีป่าทุ่งหญ้าและป่าเบญจพรรณ ผ่านจุดสูงสุดของเทือกเขานี้ และได้เห็นแหล่งต้นน้ำลำธารต่างๆ นอกเหนือจากการเดินศึกษาธรรมชาติ ตรงนี้ยังมีบันไดเดินลงไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ล้านปีภูฝอยลมด้วย โดยมีการสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ รูปปั้นไดโนเสาร์ชนิดต่าง ๆ ที่นี่นับเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก
ยังอีก ยังไม่พอ!! ยังมีจุดชมวิวภูฝอยลม วิวทิวทัศน์ที่เราได้เห็นผืนป่าเขียวขจีกว้างสุดสายตาจากภูฝอยลมจะมองไปเห็นถึงตัวเมืองอุดรธานีเลยทีเดียว
กลับลงมาจากภูฝอยลม มุ่งหน้าตรงไปตัวเมืองอุตร ผ่านวัดภูทองเทพนิมิต ที่เราเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานเด่นตระหง่านสีขาวทั้งองค์บนยอดเขา แน่นอนว่าขากลับเราตั้งใจจะแวะไหว้พระทำบุญกันอยู่แล้ว ก็ขับขึ้นเขามาไม่ชันมากนัก ทางขึ้นขับได้สบายๆ มาจอดที่ด้านหลังขององค์พระ เดินขึ้นมาไหว้พระได้แล้วค่ะ
ก่อนจบทริปนี้ เราไม่พลาดที่จะไปร้านเด็ดร้านดัง ของอุดร อีกร้าน เป็นร้านส้มตำที่ว่ากันว่า มาอุดรฯ ต้องมาหาเจ๊ไก่ เมนูส้มตำเยอะมากๆ เลือกไม่ถูกมึนไปเลยจ้า… โดยรวมรสชาติดี ราคาไม่แรง แซ่บซี๊ดสุดๆ มาอุดหนุนกันน๊า
3 วัน 2 คืน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว....เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ได้ทั้งกิน เที่ยว ทำบุญ จัดเต็มที่ประทับใจมากทริปนึงเลย ภาคอีสานบ้านเรานี้มีเสน่ห์จริงๆ และที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในภาคอีสานที่ได้มาเที่ยวแล้วรู้สึกได้ถึงความสนุกอย่างบอกไม่ถูก ^^แถมได้รับพลังธรรมชาติไปอย่างเต็มที่ บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจะต้องกลับมาเที่ยวอีกได้ให้เล้ยยย…ม่วนหลายจริงๆ
พลาดแน่ๆ ถ้าไม่แวะมานะจ่ะ แม่จ๋า....
ใครชอบกิน… ชอบเที่ยว… พวกเราขอฝากติดตามเพจน้อยๆ ของเราทั้งสองคนได้ที่
Facebook Fanpage >> https://www.facebook.com/NICH-to-GO-1542318575834643/
Instagram : nich_to_go