ถ้าพูดถึงการเดินทางด้วยเครื่องบิน หลายครอบครัวอาจลังเลเมื่อมีลูกเล็กร่วมทริป เพราะกลัวทั้งเรื่องเอกสารวุ่นวาย ไม่รู้ว่าเด็กอายุเท่าไหร่ขึ้นเครื่องบินได้ รวมถึงกังวลว่าลูกจะร้องงอแงจนรบกวนผู้โดยสารคนอื่น แต่จริงๆ แล้วการพาเด็กขึ้นเครื่องบิน ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย ถ้าเตรียมตัวล่วงหน้าให้ครบ ทั้งเรื่องตั๋ว ที่นั่ง เอกสาร และอุปกรณ์จำเป็นสำหรับเจ้าตัวเล็ก วันนี้ Traveloka ขอมาเป็นผู้ช่วยคู่ใจ รวบรวมทุกสิ่งที่พ่อๆ แม่ๆ ควรรู้ ตั้งแต่กฎของสายการบิน การเลือกที่นั่งเด็กบนเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นเด็กทารกหรือเด็กเล็ก ไปจนถึงทริคเล็กๆ สำหรับใครที่ต้องพาเด็กขึ้นเครื่องบินไฟลท์ยาว ช่วยให้ลูกน้อยนั่งเครื่องได้สบาย ไม่งอแงระหว่างทาง อ่านจบแล้วรับรองว่าคุณพ่อคุณแม่จะมั่นใจขึ้นอีกเยอะ และพร้อมพาลูกออกเดินทางไปสร้างโมเมนต์ดีๆ ด้วยกันอย่างแน่นอน
เด็กอายุเท่าไหร่ขึ้นเครื่องบินได้?
หนึ่งในคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่ก็คือ เด็กอายุเท่าไหร่ขึ้นเครื่องบินได้กันแน่ เพราะแต่ละสายการบินมีกฎแตกต่างกันออกไป บางบ้านเลยงงว่าจะเริ่มพาลูกขึ้นเครื่องบินได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ เรามาดูกันทีละช่วงวัยกันเลย
เด็กแรกเกิดขึ้นเครื่องบินได้ไหม?: โดยทั่วไป สายการบินจะไม่อนุญาตให้ทารกอายุต่ำกว่า 7 วันเดินทาง เพราะร่างกายยังบอบบางและต้องการการดูแลใกล้ชิด แต่ถ้าลูกน้อยอายุเกิน 2 สัปดาห์ ก็ยังสามารถเดินทางได้ แต่ทางสายการบินอาจขอใบรับรองแพทย์เพิ่มเติม
เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีขึ้นเครื่องบิน: วัยนี้สามารถเดินทางได้ปกติ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วที่นั่งแยก ลูกสามารถนั่งตักพ่อแม่ได้ และสายการบินจะมี เข็มขัดนิรภัยเด็ก ให้ใช้งานเสริมความปลอดภัย สำหรับไฟลท์ยาว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถขอที่นั่งเด็กทารกบนเครื่องบิน หรือเปลเด็ก (Bassinet) ได้ด้วย ช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับสบายขึ้น
เด็กอายุ 2–11 ปี:ต้องซื้อตั๋วที่นั่งเหมือนผู้ใหญ่ แต่หลายสายการบินมักมีส่วนลดค่าโดยสารให้ ทำให้การพาเด็กเล็กขึ้นเครื่องบิน ไม่ได้สิ้นเปลืองอย่างที่คิด
เด็กโต 12 ปีขึ้นไป: ทางสายการบินจะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องซื้อตั๋วในราคาเต็มเหมือนผู้โดยสารทั่วไป
ดังนั้นถ้าบ้านไหนกำลังวางแผนพาเด็กขึ้นเครื่องบินครั้งแรก อย่าลืมเช็กกับสายการบินโดยตรงก่อนเสมอ เพราะกฎเล็กๆ น้อยๆ อาจแตกต่างกันไป เช่น บางที่กำหนดว่าทารกอายุต่ำกว่า 1 เดือนต้องมีใบรับรองแพทย์ หรือมีข้อกำหนดพิเศษเวลาพาเด็กทารกขึ้นเครื่องบินไฟลท์ยาว
เด็กขึ้นเครื่องบินต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตที่คุณพ่อคุณแม่มักกังวลคือ เด็กขึ้นเครื่องบินต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง จริงๆ แล้วไม่ได้ยุ่งยากเลย แต่จะแตกต่างกันไปตามประเภทการเดินทาง ว่าเดินทางในประเทศหรือบินไปต่างประเทศ
เดินทางภายในประเทศ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี
สำหรับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 7 ปี สามารถใช้เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกับ Boarding Pass เพื่อยืนยันตัวตนได้เลย เช่น
หนังสือเดินทาง (Passport)
บัตรประจำตัวคนพิการ (ถ้ามี)
กรณีพิเศษ บางสถานการณ์อนุโลมให้ใช้ สำเนาสูติบัตร หรือ สำเนาทะเบียนบ้าน ได้ เช่น
เด็กเดินทางพร้อมบิดาหรือมารดาที่มีชื่อระบุตามเอกสารนั้น และผู้ปกครองต้องแสดงบัตรประชาชนกับเจ้าหน้าที่ด้วย
เด็กเดินทางกับผู้ปกครองตามกฎหมาย (เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือญาติที่ศาลมีคำสั่งรับรองสิทธิ์) ต้องมีเอกสารยืนยันความเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายแสดงต่อเจ้าหน้าที่
เดินทางภายในประเทศ สำหรับเด็กอายุ 7-18 ปี
สำหรับน้องๆ ที่อายุ 7 ปีขึ้นไปจนถึง 18 ปี เวลาบินในประเทศ จะต้องมีเอกสารยืนยันตัวตนดังนี้
บัตรประชาชนตัวจริง ใช้ได้ทันทีเหมือนผู้ใหญ่
ถ้ายังไม่มีบัตรประชาชน สามารถใช้สูติบัตรฉบับจริง หรือสำเนาที่มีการรับรองจากเจ้าหน้าที่แทนได้
หากมี หนังสือเดินทาง (Passport) ก็สามารถใช้เป็นเอกสารยืนยันตัวตนได้เช่นกัน
ถ้าเดินทางพร้อมผู้ปกครอง ผู้ปกครองต้องแสดงเอกสารยืนยันตัวตนของตัวเองด้วย เช่น บัตรประชาชนตัวจริง หรือ พาสปอร์ตตัวจริง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง
เดินทางไปต่างประเทศ
พาสปอร์ตเด็กตัวจริง โดยปกติประเทศปลายทางจะกำหนดให้เหลืออายุพาสปอร์ตอย่างน้อย 6 เดือน
วีซ่า (Visa) หากประเทศที่เดินทางไปกำหนดให้ต้องมี
สูติบัตร ตัวจริง หรือสำเนาที่มีการรับรอง เพื่อยืนยันความสัมพันธ์กับผู้ปกครองในบางประเทศ
ถ้าเด็กเดินทางกับผู้ปกครองเพียงคนเดียว หรือเดินทางโดยไม่มีคุณพ่อคุณแม่ จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติม เช่น
หนังสือยินยอมจากผู้ปกครองอีกฝ่าย ที่ไม่ได้เดินทางไปด้วย (ต้องมีการรับรองจากราชการ)
สำเนาบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตของผู้ปกครองที่ไม่ได้เดินทาง
เอกสารแสดงความสัมพันธ์ เช่น ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า หรือเอกสารสิทธิ์การปกครองบุตร
ทิปส์เตรียมเอกสารสำหรับการพาเด็กขึ้นเครื่องบินครั้งแรก
ทำแฟ้มเก็บเอกสารลูกแยกต่างหาก ทั้งสูติบัตร บัตรประชาชน (ถ้ามี) และพาสปอร์ต
ทำสำเนาเก็บไว้ทั้งรูปแบบกระดาษและไฟล์ดิจิทัลในมือถือ
พกข้อมูลติดต่อสถานทูตหรือกงสุลไทยในประเทศปลายทาง เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ถ้าเด็กมีโรคประจำตัวหรือจำเป็นต้องใช้ยา ควรพกใบรับรองแพทย์ติดไปด้วย
การเลือกที่นั่งและตั๋วสำหรับเด็ก
นอกจากเรื่องเอกสารแล้ว อีกสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ห้ามมองข้ามเวลาพาเด็กขึ้นเครื่องบิน ก็คือตั๋วและที่นั่ง เพราะมีผลโดยตรงกับทั้งความสะดวก ความปลอดภัย และความสบายของลูกน้อยตลอดการเดินทาง
ประเภทตั๋วเครื่องบินสำหรับเด็ก
Infant (เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีขึ้นเครื่องบิน) : ไม่ต้องซื้อตั๋วที่นั่ง แต่ต้องซื้อตั๋วแบบ Infant เพื่อให้มีชื่อในระบบสายการบิน เด็กจะนั่งบนตักพ่อแม่ และใช้เข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็กที่สายการบินเตรียมไว้ให้
Child (เด็กอายุ 2–11 ปี) : ต้องซื้อตั๋วแยกเหมือนผู้ใหญ่ แต่หลายสายการบินมักมีส่วนลด ทำให้ค่าโดยสารเด็กขึ้นเครื่องบินถูกกว่าผู้ใหญ่เต็มราคา
12 ปีขึ้นไป : ถือว่าเป็นผู้โดยสารผู้ใหญ่แล้ว ต้องซื้อตั๋ว Adult แบบเดียวกับคนทั่วไป
การเลือกที่นั่งเด็กบนเครื่องบิน
ที่นั่งถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะเวลาต้องพาเด็กขึ้นเครื่องบินในไฟลท์ยาวๆ เพราะช่วยทั้งเรื่องความสะดวกและลดความงอแงของลูกได้เยอะ
ที่นั่งเด็กทารกบนเครื่องบิน หรือเปลเด็ก (Bassinet): เหมาะกับเด็กเล็กหรือทารก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่แถวหน้า (Bulkhead Seat) ซึ่งกว้างกว่า
Car Seat: บางสายการบินอนุญาตให้นำเบาะนั่งนิรภัยเด็กขึ้นไปได้ แต่พ่อๆ แม่ๆ ต้องเช็กเรื่องมาตรฐานและเงื่อนไขกับสายการบินก่อนเสมอ
ที่นั่งเด็กเล็กบนเครื่องบิน: ถ้าเป็นวัยซน แนะนำเลือกริมทางเดิน คุณพ่อคุณแม่จะได้พาเดินไปห้องน้ำได้สะดวก
ที่นั่งเด็กโต: เลือกได้ตามความสะดวกของครอบครัว แต่โดยทั่วไปแนะนำให้นั่ง ริมหน้าต่างหรือริมทางเดิน จะดีกว่า เพราะถ้านั่งริมหน้าต่าง ลูกจะได้เพลินกับวิวด้านนอก ส่วนถ้านั่งริมทางเดินก็สะดวกเวลาเดินเข้า–ออกไปห้องน้ำหรือยืดเส้นยืดสาย
การเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับการพาเด็กขึ้นเครื่องบิน
อีกหนึ่งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ห้ามลืมเลยก็คือ ของใช้จำเป็นสำหรับการพาเด็กขึ้นเครื่องบิน เพราะเมื่อขึ้นไปแล้วจะหาซื้ออะไรเพิ่มเติมไม่ได้เหมือนเวลาเดินห้าง ถ้าเตรียมให้ครบตั้งแต่แรก รับรองว่าการเดินทางจะสบายขึ้นเยอะ
1. ของกินและนมสำหรับเด็ก
ขวดนม, นมผง หรือนมกล่องที่ลูกดื่มเป็นประจำ
ขนมชิ้นเล็กๆ ที่ลูกชอบ เผื่อช่วยแก้งอแงระหว่างทาง
สำหรับคุณแม่ที่ต้องการให้นมบนเครื่องบินสามารถทำได้เลย แนะนำเลือกที่นั่งริมหน้าต่างหรือพกผ้าคลุมติดตัวเพื่อความสะดวกและความเป็นส่วนตัว
2. เสื้อผ้าและอุปกรณ์ส่วนตัว
เสื้อผ้าเผื่อเปลี่ยน 1–2 ชุด กรณีเลอะหรืออาเจียน
ผ้าอ้อมสำเร็จรูปและทิชชู่เปียก
ถ้าเป็นไฟลท์ยาวๆ แนะนำพกชุดนอนไปเผื่อด้วย เวลาเปลี่ยนให้นอนจะได้สบายขึ้น
3. ของเล่นและกิจกรรมแก้งอแง
ของเล่นชิ้นเล็กที่ลูกโปรด เช่น ตุ๊กตา รถของเล่นคันเล็กๆ หรือหนังสือนิทาน
แท็บเล็ตหรือมือถือ โหลดการ์ตูนหรือเพลงไว้ล่วงหน้า
หูฟังสำหรับเด็ก ใช้ดูการ์ตูนหรือฟังเพลงบนเครื่อง
4. ของใช้เสริมที่ควรมีติดตัว
ยาประจำตัวเด็ก เช่น ยาลดไข้ ยาแก้แพ้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
แพมเพิสสำรอง เผื่อมากกว่าที่คิดไว้
ถุงพลาสติกหรือซิปล็อก สำหรับใส่ผ้าอ้อมหรือของที่เลอะ
วิธีพาเด็กขึ้นเครื่องบินให้ไม่งอแง
อีกหนึ่งเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่กังวลเสมอเวลาพาเด็กขึ้นเครื่องบิน ก็คือ กลัวว่าลูกจะร้องไห้งอแงบนเครื่อง โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กขึ้นเครื่องบินครั้งแรก บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เกือบทุกบ้านเจอปัญหานี้กันทั้งนั้น แต่ไม่ต้องห่วงกันไป เพราะเรามีทริคง่ายๆ ที่ช่วยให้ลูกอารมณ์ดีและเดินทางสบายขึ้นเยอะ
เลือกเวลาไฟลท์ให้ตรงกับเวลานอนของลูก
ถ้าเป็นไปได้ ลองเลือกเที่ยวบินที่ใกล้เคียงกับเวลานอนปกติ เช่น ไฟลท์เช้าตรู่หรือตอนค่ำ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกหลับยาวบนเครื่อง ลดทั้งความงอแงและความเหนื่อยของคุณพ่อคุณแม่เองด้วย
แก้ปัญหาหูอื้อช่วงเครื่องขึ้น–ลง
เด็กเล็กมักงอแงเพราะหูอื้อจากแรงดันอากาศ วิธีแก้ง่ายๆ คือให้ลูกดูดนม หรืออมจุกนมเด็กช่วงเครื่องขึ้น–ลง หรือถ้าโตหน่อยให้เคี้ยวขนมเล็กๆ ก็ช่วยได้ ถือเป็นเทคนิคกล่อมเด็กบนเครื่องบินที่ได้ผลดีทีเดียวเลย
พกของเล่นหรือกิจกรรมโปรด
ของเล่นชิ้นเล็กๆ หนังสือนิทาน หรือแท็บเล็ตที่โหลดการ์ตูนไว้ล่วงหน้า จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้ดี โดยเฉพาะเวลาบินไฟลท์ยาวที่ลูกอาจเริ่มเบื่อ แนะนำให้เตรียมแผนสำรองไว้เสมอ จะได้มีตัวช่วยให้ลูกเพลินต่อเนื่อง
ขนมโปรดช่วยชีวิต
อีกหนึ่งไอเทมที่พลาดไม่ได้เลยคือ ขนม เพราะนอกจากจะทำให้ลูกอารมณ์ดีขึ้นทันที ยังใช้แก้งอแงได้ด้วย เลือกเป็นขนมที่กินง่าย ไม่หกเลอะ จะเหมาะที่สุด
ของใช้ที่ทำให้ลูกอุ่นใจ
อย่าลืมพกตุ๊กตาตัวโปรด ผ้าห่ม หรือหมอนเล็กที่เค้าคุ้นเคยไปด้วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กมีความรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัยมากขึ้น เหมือนอยู่บ้าน ช่วยให้ลูกหลับง่ายขึ้นแม้จะอยู่บนเครื่องบิน
ทิปส์เพิ่มเติมก่อนเดินทางกับเด็ก
เช็กกฎของสายการบินให้ชัดเจน แต่ละสายการบินอาจมีกฎไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องกฎและเกณฑ์อายุเด็ก, น้ำหนักสัมภาระ ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมที่อนุญาตให้นำขึ้น เช่น Car Seat หรือรถเข็นเด็ก ดังนั้นก่อนจองตั๋วควรตรวจสอบรายละเอียดให้ครบ จะได้ไม่มีปัญหาหน้างาน
พาลูกตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง โดยเฉพาะถ้าเป็นการพาเด็กขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หรือถ้าเป็นทารก แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ เพื่อเช็กความพร้อมของร่างกาย รวมถึงสอบถามเพิ่มเติมหากลูกเพิ่งหายป่วยหรือมีโรคประจำตัว
เผื่อเวลาเปลี่ยนเครื่องให้มากขึ้น หากต้องต่อเครื่อง ควรเลือกไฟลท์ที่มีเวลาระหว่างกันพอสมควร อย่าจองไฟลท์ที่เวลาใกล้กันเกินไป เพราะการพาเด็กวิ่งเปลี่ยนเกตอาจทำให้ทั้งพ่อแม่และลูกเหนื่อยเกินจำเป็น
จองที่พักใกล้สนามบินหรือในเมืองล่วงหน้า ถ้าไฟลท์ออกเช้า แนะนำให้พักใกล้สนามบิน เพื่อให้ลูกไม่ต้องตื่นเช้าและเดินทางเหนื่อยเกินไป คุณพ่อคุณแม่ก็จะจัดการเวลาได้ง่ายขึ้นด้วย
ซื้อประกันเดินทางให้ลูกและครอบครัว อีกสิ่งที่ห้ามลืมคือการทำประกันการเดินทาง โดยเฉพาะถ้าเป็นการพาเด็กขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ เพราะช่วยคุ้มครองกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉิน ไฟลท์ล่าช้า กระเป๋าสูญหาย หรือเอกสารหาย ทำให้พ่อแม่อุ่นใจตลอดทริป
การพาเด็กขึ้นเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ ในประเทศ หรือบินไกลไปต่างประเทศ อาจฟังดูยุ่งยากสำหรับพ่อแม่มือใหม่ แต่จริงๆ แล้วถ้าเตรียมเอกสารให้ครบ เช็กเงื่อนไขสายการบิน เลือกที่นั่งให้เหมาะกับลูก และพกของใช้จำเป็นสำหรับเด็กขึ้นเครื่องบินไปให้พร้อม ทุกอย่างจะง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยอีกอย่างที่ควรรู้คือ เด็กๆ บางคนอาจมีอาการเมาเครื่องบินหรือกลัวเครื่องบิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คือค่อยๆ สร้างความคุ้นเคย และทำให้ลูกอุ่นใจอยู่เสมอ เท่านี้การเดินทางก็จะกลายเป็นประสบการณ์ดีๆ ของทั้งครอบครัวแล้ว และเพื่อให้ทริปสะดวกตั้งแต่เริ่มแพลน คุณพ่อคุณแม่สามารถจอง ตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และกิจกรรมท่องเที่ยว ได้ครบจบในที่เดียวที่ Traveloka ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย แถมมั่นใจได้เลยว่าทริปนี้จะเป็น การเดินทางกับเด็กโดยเครื่องบิน ที่ทั้งง่าย สะดวกและราบรื่นสุดๆ! และถ้าบ้านไหนกำลังมองหากิจกรรมสำหรับครอบครัวกันอยู่ ก็ลองดูไอเดียจาก Traveloka ได้เลยนะ: