เทศกาลถือศีล กินเจ หรือ “ประเพณีถือศีลกินผัก” คือการงดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ใช่แค่อาหารที่กินเท่านั้น แต่รวมไปถึงเครื่องปรุงประกอบอาหารอื่นๆอีกด้วย เพื่อเป็นการไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว การกินเจจะมีระยะเวลาประมาณ 9 วัน หรือบางท่านอาจนับเป็น 10 / 11 วัน หากรวมวันล้างท้องด้วย การกินเจนั้นไม่ได้มีข้อกำหนดมากมายหรือยากอย่างที่คิด สำหรับใครที่ไม่เคยกินเจและที่มีแพลนจะกินเจนั้น แนะนำว่าควรศึกษาเบื้องต้นก่อน ไม่ว่าจะเป็น กินเจเพื่ออะไร? ล้างท้องยังไง? อยากกินเจ กินอะไรได้บ้าง และอะไรไม่ได้บ้าง? ต้องกินกี่วัน? ทั้งนี้ เพื่อให้คุณได้มีความพร้อมทั้งกายและใจให้มากที่สุดก่อนเริ่มต้นกิน และหากคุณกำลังมีคำถามในใจตามที่กล่าวไปข้างบนนี้ละก็ คุณมาถูกทางแล้วค่ะ ทุกคำถามเหล่านี้ มีคำตอบให้ที่นี่แล้ว ไปดูกันค่า
มาถึงแล้วกับ เทศกาลถือศีล กินเจ
กินเจ คือ การรักษา ปฏิบัติตามศีล 8 และคือการรับประทานอาหารที่ไม่มีของคาว ซึ่งของคาวนั้นหมายถึงเนื้อสัตว์ทุกชนิด การกินเจต่างจากมังสวิรัติคือ การกินเจ นั้นต้องดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม ขณะเดียวกันก็ต้องงดเว้นเนื้อสัตว์ไปด้วยนั่นเอง
กินมังสวิรัติ คือ การงดเว้น หรือ หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ เพราะการกินมังสวิรัตินั้นมีหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กึ่งมังสวิรัติ ที่งดทานเนื้อสัตว์บางชนิด และสามารถเลือกทานเนื้อสัตว์ได้บางชนิด, มังสวิรัตินม และอีกมากมาย
สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นกินเจครั้งแรก สิ่งที่ต้องเตรียมตัวมีดังต่อไปนี้
*อีกหนึ่งสิ่งที่ควรรู้ในระหว่างการกินเจนั้น มีข้อห้ามในเรื่องภาชนะในการทำอาหารและภาชนะในการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่กำลังกินเจอยู่ คือ คุณต้องห้ามใช้ภาชนะหรืออุปกรณ์ใดๆร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจอยู่ (ผู้ที่กินเนื้อสัตว์) โดยการรับประทานอาหาร ต้องรับจากผู้ปรุงอาหารที่กินเจด้วยเหมือนกันเท่านั้น
ในเทศกาลถือศีลกินเจ โดยปกติแล้วจะตรงกับวัน ขึ้น 1 ค่ำ - 9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) และจะตรงกับวัน ขึ้น 1 ค่ำ - 9 ค่ำ เดือน 11 หรือ (ตามปฏิทินไทย) หรือตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี รวมๆแล้ว ช่วงเวลาของการกินเจ จะอยู่ที่ 9 วัน 9 คืน
ก่อนจะกินเจ ทุกคนควรจะให้เวลา 1-2 วัน ในการล้างท้องก่อน และไม่ควรปรับแบบทันที ควรจะค่อยๆปรับเมนูอาหารทีละนิด เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพก่อนเพื่อที่จะให้มีความสมดุลและพร้อมที่สุดก่อนเริ่มกินเจ
วันล้างท้องวันที่ 1
วันล้างท้องวันที่ 2
ในการกินเจนั้น มีกฏข้อห้ามอยู่ว่า ให้งดกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด, ผักที่มีกลิ่นฉุน, อาหารรสจัด, ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม
- ผักที่มีกลิ่นฉุน 6 ชนิด (ห้ามทานระหว่างกินเจ)
- อาหารรสจัด (ห้ามทานระหว่างกินเจ)
อาหารรสจัด หมายถึง อาหารที่มีการปรุงแต่งให้มีความเผ็ด, เปรี้ยว, หวาน, เค็มโดยเครื่องปรุงต่างๆ โดยปกติแล้ว การกินเจที่ดีควรงดการปรุงแต่งรสชาติอาหารด้วยเครื่องปรุงใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นเครื่องปรุงเจโดยเฉพาะ
*กรณีผงชูรสทานได้ไหม? สามารถทานได้ ไม่ได้มีข้อห้ามในการห้ามกินผงชูรสในระหว่างกินเ
- ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด (ห้ามทานระหว่างกินเจ)
ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เนย น้ำมัน ล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารที่ต้องงดทาน อีกเช่นกัน หากคุณกำลังอยู่ในระหว่างการถือศีลกินเจ
*สำหรับช็อคโกแลต สามารถทานได้หากเป็นดาร์กช็อคโกแลต 100%
มาถึงคำถามยอดฮิต กินเจได้บุญไหม? การกินเจนั้นคือการไม่กินเนื้อสัตว์ การไม่เบียดเบียนหรือไม่สนับสนุนการฆ่าสัตว์ ในทุกกรณี หากถามว่าจะได้บุญไหมถ้าเรากินเจ คำตอบก็คือ “ขึ้นอยู่กับเจตนาของบุคคลนั้นๆ” เพราะอะไร? หากคุณตั้งใจจะกินเจด้วยใจเมตตาต่อสัตว์ร่วมโลกอย่างแท้จริง โดยการอยากละเว้นการฆ่าสัตว์ ก็ถือว่าสิ่งนี้เป็นบุญกุศลสำหรับคุณ แต่หากคุณกินเจเพียงเพราะช่วงเวลานั้นๆเป็นช่วงเทศกาลพอดีเท่านั้น ก็อาจจะเป็นอีกเรื่องนึง อย่างไรก็ตาม การกินเจนั้นจะช่วยให้คุณฝึกจิตใจให้เย็น บริสุทธิ์ มีสตินึกคิดอยู่ตลอดในระหว่างถือศีล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกจิตให้แข็ง รู้สึกนึกคิด ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ การจะได้บุญไหมนั้น จึงเป็นเรื่องของเจตนาในการทำและปฏิบัติล้วนๆเลยค่ะ
สรุปแล้ว การกินเจ ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำบุญเท่านั้น แต่กินเจยังเป็นการทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้นอีก เพราะจะทำให้ร่างกายคุณมีความสมดุลมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกินโรคร้ายได้ถึง 5 ชนิดหลักๆ แต่ยังไงก็ตาม คุณต้องกินให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากคุณเป็นผู้ที่กินเนื้อสัตว์มาตลอดและรู้สึกว่าการกินเจนั้นยากเหลือเกิน อยากให้ลองดูค่ะ สมัยนี้อาหารเจมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย และที่สำคัญ อร่อยมากๆด้วย
การดูแลตัวเอง การดูแลสุขภาพกาย ไม่ว่าจะเป็น การเลือกและใส่ใจกับอาหารที่กิน, พักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก แต่ยังไงก็อย่าลืมดูแลสุขภาพใจ โดยการหากิจกรรมสนุกๆ คลายเครียดทำอยู่เสมอๆ เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง สุขภาพกายดีแล้วก็อย่าลืมสุขภายใจไปพร้อมๆกันด้วยนะคะ