สัมผัสความรู้สึกสดชื่นของอากาศบนยอดเขาสูงที่เทือกเขาแอลป์ในยุโรป Traveloka ชวนคุณจองตั๋วเครื่องบินไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อไปเยือนยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ณ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) รัฐแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรป ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร ทำให้ยอดเขาจุงเฟรามีหิมะปกคลุมตลอดเวลา นักท่องเที่ยวจะได้ยลความสวยงามของจุดเช็คอินและกิจกรรมห้ามพลาดอีกมากมาย ทั้ง Ice Palace, อาคาร Sphinx ตลอดจนเปิดประสบการณ์ความสวยงามที่ Jungfrau Panorama

ก่อนจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังยอดเขาจุงเฟรา เรามาดูประวัติของสถานที่แห่งนี้ไปพร้อม ๆ กัน เพราะหลายคน ๆ อาจจะเคยได้ยินชื่อของยอดเขาจุงเฟราในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่กว่าจะเป็นยอดเขาจุงเฟราที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือนกันอย่างทุกวันนี้นั้น เทือกเขาแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานของการก่อสร้างทางรถไฟเพื่อมุ่งสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดด้วยเช่นกัน

ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) หรือ จุงเฟรายอค (Jungfraujoch) เป็นหนึ่งในยอดเขาของเทือกเขาแอลป์ ยอดเขา Jungfrau ตั้งอยู่ที่เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) รัฐแบร์น ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี ด้วยความสูง 4,158 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

จุงเฟรา (Jungfrau) หมายถึง สาวน้อย ซึ่งเป็นชื่อที่สามารถบอกเล่าความงดงามของทัศนีย์ภาพบนยอดเขาแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ Jungfraujoch ซึ่งเป็นสถานีที่สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย เป็นตัวช่วยในการเดินทางที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมชมความงามของยอดเขาจุงเฟรา ประวัติของสถานีรถไฟและทางรถไฟแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1896 มีการขอสัมปทานจากรัฐเพื่อสร้างทางรถไฟขึ้นสู่ยอดเขา Jungfrau ทำให้การเดินทางสู่ยอดเขาง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องปีนป่ายเพียงอย่างเดียว การก่อสร้างกินเวลายาวนานถึง 16 ปี และสุดท้ายก็ได้เปิดให้บริการในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1912

*ในปี ค.ศ. 2001 มีการบรรจุยอดเขาแห่งนี้ให้เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแห่งแรกในยุโรปเลยทีเดียว

ยอดเขาจุงเฟรา ตั้งอยู่ทางไม่ไกลจากมืองอินเทอร์ลาเคน ซึ่งอยู่ในรัฐแบร์นที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกค่อนไปทางภาคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ใครที่ต้องการจะพิชิตยอดเขาก็สามารถหาที่พักสวิตเซอร์แลนด์ที่อินเทอร์ลาเคน เพื่อพักผ่อนก่อนจะออกเดินทางพิชิตยอดเขาอันสวยงามแห่งนี้ได้เลย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/p2kfLzFUv8GHCDHU7

ยอดเขาจุงเฟราเปิดให้เข้าชมได้ตลอดปี โดยแต่ละฤดูนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยียนก็จะได้พบความงามของทัศนีย์ภาพที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นช่วงฤดูร้อน หรือใบไม้ผลิ ก็จะได้พบได้กับทัศนียภาพสีเขียวขจี ทุ่งดอกไม้อันสวยสดงดงาม แต่หากเป็นช่วงฤดูหนาว ก็จะได้พบกับหิมะขาวโพลนบริสุทธิ์ที่ย้ำเตือนถึงความสวยงามตามชื่อของยอดเขาจุงเฟรานั้นเอง สามารถจองที่พักในเมืองใกล้ ๆ เพื่อใช้เวลาเต็มวันไปกับการเยี่ยมชมยอดเขาได้เลย

การเดินทางขึ้นยอดเขาจุงเฟรา สามารถทำได้ทั้งการขึ้นกระเช้า รถไฟ และการปีนเขา แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปเที่ยวจุงเฟรา แนะนำเป็นการขึ้นกระเข้าหรือรถไฟน่าจะสะดวกกว่า ที่สำคัญ รถไฟยังมีให้ใช้ถึงสองเส้นทาง คุณสามารถชื่นชมความสวยงามของวิวทิวทัศน์ในขาไปและขากลับไปได้อย่างเต็มที่

การเดินทางขึ้นไปเที่ยวจุงเฟรา นอกจากจะต้องศึกษาวิธีการเดินทางแล้ว ยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับระดับความกดอากาศที่แตกต่างจากพื้นที่ทั่วไปเนื่องจากความสูงของยอดเขาจุงเฟรา อุณหภูมิที่หนาวเย็นตลอดปี รวมไปถึงหิมะและน้ำแข็งลื่น ๆ ที่อาจสร้างความลำบากให้กับคนที่ไม่ชินได้

การเดินทางขึ้นจุงเฟรา สามารถทำได้โดยการใช้กระเช้าไฟฟ้า Eiger Express โดยขึ้นกระเช้าจากสถานี สถานีกรินเดลวาลด์ กรุนด์ (Grindelwald Grund) ไปยังสถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletcher) ซึ่งการขึ้นกระเช้าจะทำให้สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาสลับซับซ้อนจากมุมสูง ทั้งสวยงามและน่าประทับใจ เป็นทัศนียภาพที่ไม่ได้หาชมได้ง่าย ๆ

การเดินทางด้วยกระเช้าไปจุงเฟรานั้น เมื่อถึงสถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletcher) จะต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปให้ถึงยอดเขาที่สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) โดยราคากระเช้าขึ้นจุงเฟราราคา64 ฟรังก์ (ไปกลับ) และต่อรถไฟขึ้นไปยอดเขาจุงเฟรา 190 ฟรังก์ (ไปกลับ) ใช้เวลาในการนั่งกระเช้า 15 นาที และต่อรถไฟอีก 30 นาที รวมแล้วเพียง 45 นาทีเท่านั้น

การเดินทางขึ้นจุงเฟราด้วยการนั่งรถไฟ สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่สถานี Interlaken OST โดยจะมีสองเส้นทางให้เลือก คือเส้นทางที่ผ่านเมืองกรินเดลวาลด์ (Grindelwald) และเส้นทางที่ผ่านเมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) ซึ่งทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบกันที่สถานีไคลน์ไซเด็ก (Kleine Scheidegg) ก่อนที่จะเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟสีแดงเพื่อมุ่งไปยังยอดเขาจุงเฟรา โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกเส้นทางขาขึ้นและลงที่แตกต่างกันเพื่อให้ได้ชมวิวทุ่งหญ้าและเทือกเขาอันสวยงามของทั้งสองเส้นทางนั่นเอง โดยจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดอยู่ที่ 2 ชั่วโมงโดยประมาณ

ยอดเขาจุงเฟรา นอกจากจะมีวิวด้วยหิมะขาวโพลน สามารถมองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนอันสวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ บนความสูงกว่า 4,000 ฟุตนี้อีกมากมายด้วย

ยอดเขาจุงเฟรา โด่งดังด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม ทำให้มีภาพยนตร์ตลอดจนละครหลาย ๆ เรื่อง เลือกฉากหลังให้เป็นยอดเขาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Heidi and Peter ที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หรือละครไทยชื่อดัง คุณชายปวรรุจ ก็มีฉากที่ถ่ายทำบนยอดเขาจุงเฟราเช่นกัน

ใครที่เดินทางขึ้นมาจนถึงบนยอดเขาจุงเฟรา ก็คงจะตื่นตาตื่นใจกับวิวยอดเขาอันสวยงาม แต่ที่อาคาร Sphinx (Sphinx Terrace) จะเปิดประสบการณ์ความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ให้ยิ่งไปกว่าเดิม ด้วยหอคอยชมวิว และลิฟต์ที่จะพาคุณไต่ระดับไปที่ความสูง 3,571 เมตร ย้ำเตือนความเป็น Top Of Europe ทั้ง 360 องศา สามารถมองเห็นธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier ที่ทอดตัวยาว 22 กิโลเมตร ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ สามารถมองเห็นยอดเขา Eiger Monch และ Jungfrau ใครที่ขึ้นไปจุงเฟราแล้ว พลาดจุดชมวิวแห่งนี้ไม่ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีภัตตาคารให้คุณสามารถทานอาหารไปพร้อมชมวิวสวย ๆ ทั้งอิ่มท้อง และอิ่มใจ

Ice Palace ถ้ำน้ำแข็งพันปี ที่เกิดจากการเจาะธารน้ำแข็งลงไปเป็นอุโมงค์ โดยลึกลงไปถึง 30 เมตร ภายในถ้ำจะมีประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักรูปต่าง ๆ ตั้งประดับประดาให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ภายในถ้ำน้ำแข็งมีทางเดินที่ทอดยาวซึ่งอาจลื่นได้ จึงควรสวมรองเท้าที่สามารถยึดเกาะได้ดี ใครที่แวะไปเยือนยอดเขาจุงเฟรา พลาดไม่ได้กับการเที่ยวชมถ้ำแห่งนี้

Jungfrau Panorama จะฉายภาพยนตร์สั้น ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับยอดเขาแห่งนี้รวมไปถึงฉายวิวเสมือนจริงของยอดเขาจุงเฟราได้ด้วย จุดเด่นของห้องนี้คือการมีจอ 360 องศา ในวันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ บดบังทัศนวิสัยจนไม่สามารถมองเห็นวิวสวย ๆ ได้ ก็สามารถเข้ามาชมวิวในห้องนี้ได้

แวะร้านขายของที่ระลึกบนยอดเขาจุงเฟรา นอกจากจะได้ของที่ระลึกสวย ๆ กลับบ้านแล้ว ที่นี่ยังมีตู้ไปรษณีย์ที่อยู่สูงที่สุดในโลก ลองซื้อโปสต์การ์ดจากสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Top of Europe ส่งให้ตัวเองหรือครอบครัวสักใบก็เป็นไอเดียที่ทั้งน่ารักและน่าสนใจไม่น้อยเลย