คามิโคจิ (Kamikochi) เป็นหนึ่งในสถานท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของที่เที่ยวญี่ปุ่น ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงประมาณ 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในจังหวัดนากาโนะ รายล้อมด้วยเทือกเขาสูงตระหง่านและแม่น้ำใสแจ๋วอย่างแม่น้ำอาซุสะ ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งญี่ปุ่น” เลยทีเดียว บรรยากาศเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ที่คามิโคจิ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ มาสูดอากาศสดชื่นให้ชุ่มปอดท่ามกลางธรรมชาติสุดอลังการของเทือกเขา Japan Alps
อย่างไรก็ตาม คามิโคจิไม่ได้เปิดให้เที่ยวได้ตลอดทั้งปีนะ! เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะตกหนักและทางการปิดพื้นที่เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูสภาพป่าเขา โดยปกติคามิโคจิจะเปิดตั้งแต่ประมาณกลางเดือนเมษายน (17 เม.ย.) ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน (15 พ.ย.) ของทุกปี หลังจากนั้นจะปิดในช่วงหน้าหนาว (ปลาย พ.ย. – ต้น เม.ย.) นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปช่วงปิดจะต้องเดินเท้าเข้าไปเองด้วยอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งสำหรับมือใหม่ถือว่าไม่แนะนำเพราะอันตรายมาก! ช่วงเวลาที่เปิดให้เที่ยวได้จะมี 3 ฤดูหลัก ๆ คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (ใบไม้ร่วง) ซึ่งแต่ละช่วงก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ต่างกันไป อ่านจบแล้วกดจองตั๋วเครื่องบินและที่พักใกล้ ๆ คามิโคจิกับ Traveloka เลย!
คามิโคจิตั้งอยู่บนพื้นที่สูงบนภูเขา ทำให้อากาศเย็นสบายกว่าเมืองใหญ่พอสมควร โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่นี่จะเย็นกว่าโตเกียวราว 5-10°C เลยทีเดียว นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจำนวนมากนิยมมาคามิโคจิเพื่อหลบร้อน ในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี และยังเป็นช่วง High Season สำหรับกิจกรรมเดินป่าและปีนเขาด้วย
นอกจากนั้น ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (ต.ค.-ต้น พ.ย.) ก็เป็นอีกไฮไลท์ที่อากาศเย็นสบายและวิวสวยสุดๆ แต่ต้องระวังเพราะช่วงปลายกันยายนถึงตุลาคมมักมีพายุไต้ฝุ่นผ่านญี่ปุ่นบ่อยครั้ง ควรเช็กพยากรณ์อากาศก่อนเดินทางด้วยนะ!
ส่วนช่วงฤดูหนาว (กลาง พ.ย. เป็นต้นไป) อุณหภูมิบนเขาจะติดลบ หิมะปกคลุมหนาแน่น ทางอุทยานจึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าไปบริเวณโรงแรม ร้านค้า และรถบัสหยุดให้บริการทั้งหมด ถ้าต้องการเข้าไปจริง ๆ จะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตและเดินเท้าพร้อมไกด์เท่านั้น ซึ่งถือเป็นการเดินป่าบนหิมะที่เสี่ยงและต้องเตรียมตัวดีมาก ๆ เลยล่ะ คนไทยอย่างเรา ๆ จึงควรวางแผนมาเที่ยวเฉพาะช่วงที่เปิดจะดีที่สุด
Tip: ไม่ว่าจะมาเที่ยวคามิโคจิช่วงเดือนไหน การแต่งตัวแบบ Layering หรือใส่หลาย ๆ ชั้น คือเคล็ดลับสำคัญ เพราะอุณหภูมิที่นี่อาจแปรปรวนระหว่างวันได้ เสื้อผ้าหลายชั้นที่ถอดปรับได้จะช่วยให้เราอยู่สบายตลอดทริป กลางวันแดดออกจนร้อนก็แค่ถอดเสื้อนอก แต่พอตกเย็นหรือเช้าตรู่กลับหนาวจัด เราก็ควรเตรียมเสื้อกันหนาว กางเกงขายาว ถุงมือ และหมวกไหมพรมมาด้วย โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นลงเร็วมาก ๆ เลย
ฤดูใบไม้ผลิของคามิโคจิเริ่มช่วงกลางเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ถือเป็นช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวหลังปิดไปตลอดหน้าหนาว ช่วงต้นฤดู (ประมาณปลายเมษายน) หลายพื้นที่ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน อากาศค่อนข้างหนาวเย็น (กลางวันบางวันอุณหภูมิอาจต่ำเลขตัวเดียว!) บรรยากาศเหมือนปลายฤดูหนาวซะมากกว่า นักท่องเที่ยวจึงยังบางตา เหมาะกับคนที่อยากได้วิวหิมะที่ยังไม่ละลายและความสงบเงียบของธรรมชาติ พอก้าวเข้าสู่เดือนพฤษภาคม หิมะเริ่มละลาย ต้นไม้ใบหญ้าแตกใบใหม่เป็นสีเขียวสด อากาศอุ่นขึ้นกำลังสบาย ๆ กลางวันจะรู้สึกเย็น ๆ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป นักท่องเที่ยวช่วงปลายใบไม้ผลิก็ยังไม่เยอะมาก จึงเที่ยวได้อย่างชิล ๆ เลย มากไปกว่านั้น น้ำในบึงไทโช (Taisho Pond) ช่วงปลายเมษายน จะใสปิ๊งราวกระจกสะท้อนฉากภูเขาสลับหิมะ วิวธรรมชาติปังสุด ๆ
กิจกรรมที่แนะนำ:
การเตรียมตัว:
ฤดูร้อนของคามิโคจิอยู่ในช่วงมิถุนายน-กันยายน โดยจะเริ่มคึกคักจริง ๆ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกลางกันยายนที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าโปร่งสดใส นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติหลั่งไหลมาสัมผัสธรรมชาติและหนีร้อนกันคึกครื้นเลยทีเดียว ช่วงนี้อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 – 23°C เท่านั้น ซึ่งเย็นสบายกว่าภาคเมืองของญี่ปุ่นและเมืองไทยเรามาก และการเที่ยวคามิโคจิฤดูร้อนยังเป็น “ฤดูกาลแห่งการปีนเขา” ของญี่ปุ่นด้วย เช่น ยอดเขาโฮทากะ หรือ ภูเขาไฟยาเคดาเกะที่อยู่รายล้อมคามิโคจิ (เราขอแนะนำให้อ่านสิ่งที่ควรรู้และรายละเอียดในเว็บไซต์ของคามิโคจิก่อนนะ) หรือเลือกเดินเล่นเส้นทางราบชมวิวชิล ๆ ก็ได้ตามสะดวก
ข้อควรระวังคือช่วงต้นฤดูร้อน (กลางมิ.ย.–กลางก.ค.) เป็นหน้าฝน อาจมีฝนตกชุก ทำให้ทางเดินแฉะและลื่น ควรสวมรองเท้าที่ยึดเกาะดีและเตรียมชุดกันฝนให้พร้อม ส่วนช่วงกลางเดือนสิงหาคมจะตรงกับวันหยุดโอบ้งของญี่ปุ่น (11-16 ส.ค.) นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษ ที่พักมักถูกจองเต็มและคนแน่นทุกเส้นทาง แนะนำว่าถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยงช่วงนั้น
กิจกรรมที่แนะนำ:
Credit: kamikochi.org
การเตรียมตัว:
ฤดูใบไม้ร่วงหรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีถือเป็นช่วงที่คามิโคจิสวยที่สุดและฮอตที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ ช่วงนี้จะอยู่ประมาณต้นเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยช่วงกลางเดือนตุลาคม เป็น “ช่วงพีค” ที่ใบไม้ทั่วหุบเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนสีเป็นเหลือง แดง ส้ม สวยงามอลังการตัดกับสีฟ้าใสของแม่น้ำอาซุสะและมีฉากหลังเป็นยอดเขาหิมะขาว บอกเลยว่าฟินนาเล่! ใครที่อยากชมใบไม้เปลี่ยนสีญี่ปุ่นแบบฟิน ๆ คามิโคจิคือคำตอบที่ไม่ควรพลาด!
แต่เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นสุด ๆ นักท่องเที่ยวจึงหนาแน่นมาก ทั้งกรุ๊ปทัวร์และคนที่มาเที่ยวเอง ดังนั้นควรเผื่อเวลาต่อคิวรถบัสและถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ นิดนึงนะ! หรือถ้าอยากเลี่ยงคนจริง ๆ อาจวางแผนมาต้นตุลาคมหรือช่วงปลาย ๆ ฤดู (ต้นพ.ย.) ที่คนจะน้อยลง แต่ต้องลุ้นสภาพอากาศและใบไม้ที่อาจโรยเร็วในบางปี นอกจากนี้ ปลายฤดูฝน–ต้นใบไม้ร่วงของญี่ปุ่น (ก.ย.–ต.ค.) มักมีไต้ฝุ่น จึงควรติดตามข่าวพยากรณ์และหลีกเลี่ยงวันที่สภาพอากาศไม่ดีเพื่อความปลอดภัยด้วยนะ
กิจกรรมที่แนะนำ:
การเตรียมตัว:
โดยทั่วไป คามิโคจิจะปิดการเข้าชมในฤดูหนาว ช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนเมษายน ของปีถัดไป เนื่องจากหิมะตกหนักและหนาท่วมเส้นทาง ภายในอุทยานเงียบสนิทไม่มีบริการขนส่งหรือร้านค้าที่เปิดทำการ นักท่องเที่ยวทั่วไปจึงไม่สามารถเข้าไปเที่ยวได้ในช่วงนี้ได้ จะมีก็เพียงนักปีนเขาหรือช่างภาพมืออาชีพ บางกลุ่มที่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษในการเดินเท้าเข้าไปบนหิมะ (ต้องยื่นแบบฟอร์มขออนุญาตล่วงหน้าและมีไกด์ท้องถิ่นนำทางเท่านั้น)
การเดินป่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนในหน้าหนาว มันสวยงามมากก็จริง แต่ก็อันตรายและโหดสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างมาก! เพราะอุณหภูมิที่นี่สามารถดิ่งลงต่ำถึง -10°C มากไปกว่านั้น อาจมีหิมะที่ถล่มลงมาใหม่ ๆ ที่สูงท่วมหัวจนอาจเดินต่อไม่ไหวเลยก็มี
กิจกรรมที่แนะนำ:
การเตรียมตัว:
จะเห็นได้ว่า คามิโคจิมีเสน่ห์แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ดังนั้นจริงๆ แล้ว “ช่วงไหนดีที่สุด” คงขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย! ถ้าให้สรุปจากความนิยมโดยทั่วไป ฤดูร้อน (กรกฎาคม–กลางกันยายน) และ ฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม–กลางพฤศจิกายน) คือช่วงที่คามิโคจิสวยงามและคึกคักที่สุด เพราะธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขีดสุดทั้งสีเขียวและสีสันใบไม้ นักท่องเที่ยวไทยที่ชอบอากาศเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป ฟ้าใสๆ พร้อมวิวภูเขาสีเขียวสดก็ต้องเลือกหน้าร้อน รับรองฟินและถ่ายรูปสวยทุกมุม ส่วนใครที่อยากได้บรรยากาศโรแมนติกท่ามกลางใบไม้หลากสี มีอากาศเย็นๆ ให้ใส่เสื้อโค้ทเก๋ ๆ ก็คงถูกใจกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่วง ปลายเมษายน–พฤษภาคม ก็เหมาะกับคนที่อยากเลี่ยงฝูงชน ชอบความสงบของธรรมชาติ และยังได้เห็นหิมะหลงฤดูตามยอดเขาด้วย และฤดูหนาวแม้จะเข้าไม่ได้ แต่ก็เป็นช่วงพักฟื้นของป่าเขาที่จะกลับมาสวยสดใหม่อีกครั้งในปีถัดไป
หวังว่าข้อมูลที่รวบรวมมาจะช่วยให้เพื่อน ๆ ตัดสินใจได้ว่า “เที่ยวคามิโคจิเดือนไหนดี” ที่สุดสำหรับสไตล์ตัวเองนะ ไม่ว่าจะเลือกไปช่วงไหนก็ควรเตรียมร่างกายและข้าวของให้พร้อม วางแผนเรื่องการเดินทางและที่พักล่วงหน้า จองตั๋วเครื่องบินและจองที่พักใกล้คามิโคจิกับ Traveloka แล้วเที่ยวให้สนุกและเก็บความประทับใจกลับมาเยอะ ๆ แล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ!
แถมอีกนิด: การเดินทางไปคามิโคจิจากโตเกียวหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ไม่ยากอย่างที่คิด มีบริการรถบัสตรงหลายสาย หรือจะนั่งรถไฟไปต่อรถบัสก็ได้สะดวก (โดยต้องจอดรถส่วนตัวไว้ด้านนอกแล้วต่อรถบัสเข้าไป เพราะเขาห้ามรถยนต์ส่วนตัวเข้าพื้นที่อนุรักษ์)