เชื่อว่าใครหลายคนก็คงกำลังเหนื่อยกับการทำงานในตัวเมือง และอยากลองไปเปลี่ยนบรรยากาศซึมซับธรรมชาติ เพื่อคลายความกังวลและความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานกันไม่มากก็น้อย โดยเราก็เป็นหนึ่งคนที่กำลังมองหาที่เที่ยวที่สามารถออกไปพักผ่อนและหลีกหนีความวุ่นวายต่าง ๆ ได้ จึงตัดสินใจวางแผนเดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสุราษฯ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน โดยเราจะไปที่เขื่อนเชี่ยวหลาน-เขาสก พร้อมทั้งเก็บตกจุดเช็กอินสำคัญต่าง ๆ ในตัวเมืองสุราษฯ กัน ซึ่งทริปนี้เราก็ขอไปแบบงบน้อยราคาประหยัด ใช้เงินไม่กี่พันก็เที่ยวสนุกได้ ว่าแล้วไม่รอช้า รีบเก็บกระเป๋าแล้วตามเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าทริปนี้เราจะไปที่ไหนกันบ้าง
การเดินทางไปสุราษฯ นั้นสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถโดยสารประจำทาง หรือเครื่องบิน ซึ่งเราได้ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินผ่าน Traveloka เนื่องจากเมื่อเทียบราคากับยานพาหนะอื่น ๆ แล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แถมยังใช้เวลาในการเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น และที่สำคัญเรายังได้ตั๋วมาในราคาสุดคุ้มมาก ๆ เพราะในแอปมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Price Alerts ตัวช่วยสุดพิเศษที่คอยแจ้งเตือนราคาตั๋วเครื่องบินจากสายการบินต่าง ๆ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปรียบเทียบราคาด้วยตนเองอีกต่อไป เพียงเข้าไปเลือกจุดหมายปลายทางที่ต้องการ พร้อมระบุวัน-เวลาเดินทาง รวมถึงราคาที่คาดหวังเท่านี้ ก็สามารถรอการแจ้งเตือนผ่านหน้าจอโทรศัพท์ของคุณได้อย่างง่าย ๆ แล้ว
เช็คราคา ตั๋วเครื่องบินไปสุราษ ราคาพิเศษ
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุราษฯ เราก็ได้มุ่งหน้าไปยัง ร้านเสรีแต่เตี้ยม เพื่อไปลิ้มลองรสชาติติ่มซำ ของขึ้นชื่อประจำจังหวัดที่ใครมาถึงก็ต้องพลาดไม่ได้ ซึ่งจุดเด่นของร้านนี้ก็คือ มีเมนูขนมจีบซาลาเปาที่เราสามารถเลือกทานได้อย่างหลากหลาย แถมยังมีบะกุ๊ดเต๋ ซาลาเปาทอดไส้หมูแดงอร่อย ๆ ตลอดไปจนถึงโจ๊กหมู โจ๊กปลา หรืออาหารเช้าแบบอเมริกันที่เราสามารถเลือกทานได้ตามความต้องการ
โดยร้านแห่งนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานหลายปี ทำให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากใครที่กำลังมองหาร้านอร่อย ๆ มื้อเช้า ก็สามารถตามไปกินไปเช็กอินกันได้ รับรองว่าแต่ละเมนูอร่อยแบบจุกๆ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ขอบคุณภาพจาก facebook.com/sereetaetiam2
ขอบคุณภาพจาก facebook.com/sereetaetiam2
หลังจากทานกันจนอิ่มท้อง เราก็ได้มุ่งหน้าไปยังที่ทำการเขื่อนรัชชประภา(เชี่ยวหลาน) เพื่อไปเดินเล่นถ่ายรูปชิล ๆ กันที่บริเวณสันเขื่อนก่อนจะลงเรือเข้าที่พักกัน ซึ่งจุดนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวอันสวยงาม โดยเราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และทัศนียภาพของแนวถนนสันเขื่อน และท้องทะเลสาบได้อย่างกว้างไกลสุดสายตา
พอเดินเล่นและถ่ายรูปไปสักพัก ก็ได้เวลาลงเรือเพื่อเข้าที่พัก ซึ่งเราได้จองกับ แพนางไพร เพราะราคาถือว่าไม่แพงมาก แถมยังเป็นจุดที่สวยที่สุด ถูกรายล้อมไปด้วยวิวภูเขาอันสวยงาม และอยู่ตรงข้ามเขาสามเกลอ ภูเขาหินปูนสามลูกที่ตั้งเด่นอยู่กลางน้ำ
โดยระหว่างทางที่ล่องเรือไปยังที่พัก เราก็ได้ผ่านทิวเขาและหินปูนมากมาย นั่งชมบรรยากาศธรรมชาติรอบ ๆ พร้อมรับลมเย็นและสูดอากาศบริสุทธิ์กันให้ทั่วถึงปอดกันได้อย่างชื่นใจ
เมื่อเดินทางมาถึงที่พัก เราก็เก็บสัมภาระต่าง ๆ เข้าแพ และนั่งเรือต่อเพื่อไปยังบริเวณจุดถ่ายรูปเขาสามเกลอ ที่มีลักษณะเป็นพานพุ่มสามพุ่ม แลนด์มาร์กที่ใครมาก็ต้องพลาดไม่ได้ เพราะหินสามลูกนี้ถือเป็นสัญลักษณ์และไฮไลท์สำคัญของเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง
หลังจากที่ได้รูปกันจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว พี่คนเรือก็จะพาล่องเรือไปยัง ถ้ำประกายเพชร เพื่อไปชมหินปะการัง หินงอกหินย้อยที่มีรูปร่างแปลกตาอย่างโดดเด่น โดยจุดเด่นของถ้ำแห่งนี้อยู่ที่ ผนังถ้ำที่ส่องประกายระยิบระยับไปทั่วบริเวณ ซึ่งถ้าเราลองนำไฟฉายไปส่องจะสามารถเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยถ้ำนี้มีความยาวประมาณ 100 เมตร เหมาะสำหรับการเข้าไปสำรวจความงดงามจากสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามปรากฏการณ์ของธรรมชาติ
หลังจากที่ได้ชมความสวยงามของถ้ำเสร็จ เราก็ได้ล่องเรือเข้าที่พักเพื่อไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกัน ซึ่งใครจะถ่ายรูป เล่นน้ำ พายเรือคายัค หรือให้อาหารปลาก็สามารถทำได้ โดยเราก็รีบเปลี่ยนชุดและกระโดดลงน้ำอย่างทันที
บรรยากาศตอนนั้นบอกได้เลยว่ามันดีมาก ๆ เหมือนเราได้มาใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และสัมผัสธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยทิวเขาและความเงียบสงบท่ามกลางผืนน้ำสีเขียวมรกตและเกาะหน้าผาหินปูนที่ตั้งเรียงรายสลับซับซ้อนกันไปมาในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสกแห่งนี้
หลังจากเล่นน้ำเปลี่ยนชุดกันเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาทานอาหารมื้อเย็นกัน โดยที่พักก็ได้จัดเตรียมอาหารเป็นชุดให้เราทาน ซึ่งจะมีปลาทอด ผัดผักรวมน้ำมันหอย ไข่เจียว และแกงเหลืองที่มีรสชาติเข้มข้นอร่อยแบบฉบับคนใต้แท้ ๆ จากนั้นเราก็ได้ต่างแยกย้ายไปพักผ่อนและเตรียมตัวออกไปตะลุยกันต่อในเช้าวันถัดมา
ตื่นเช้ามาในวันที่ 2 ของการเดินทางในสุราษฯ เราก็ได้อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และเดินไปรับประทานอาหารเช้ากัน พอทานเสร็จก็ได้กลับมาเก็บสัมภาระต่าง ๆ เข้ากระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะวันนี้เราจะล่องเรือเข้าฝั่ง เพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขาสก แต่ก่อนจะขึ้นเรือเราก็ขอให้อาหารปลาตะเพียนหางแดง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปลากะแหฝูงใหญ่ที่รอแวกว่ายไปมาในน้ำกันก่อน
จากนั้นเราก็ขึ้นเรือและออกเดินทางไปยังท่าเรือกันต่อ ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าที่พัก เราจะขอแวะไปเช็กอินกันที่ สะพานแขวนเขาพัง ที่มีภูเขารูปหัวใจเป็นฉากหลัง หนึ่งในที่เที่ยวสุราษฯ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำลำธาร และต้นไม้สีเขียวขจีที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ๆ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกจากบริเวณสะพานแห่งนี้ได้อย่างตระการตา
พอเดินเล่นและได้รูปถ่ายกันอย่างจุใจแล้ว ก็ขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยัง ร้านอาหารเคียงคลองเขื่อนเชี่ยวหลาน (เคียงคลอง) เพื่อหาอะไรเข้าท้องในมื้อกลางวันนี้ ซึ่งร้านก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานแขวนข้างมากนัก โดยทางร้านให้บริการอาหารเมนูพื้นบ้าน โดยเฉพาะเมนูปลาที่มาจากเขื่อน ไม่ว่าจะเป็น ปลาทอดสมุนไพร สามรส แกงส้ม ผัดฉ่า หรืออาหารเมนูทั่วไปอื่น ๆ ที่มาพร้อมราคาไม่แพงมากนัก
โดยเราก็ได้สั่งมาทาน 3 เมนูด้วยกัน ทานพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ บอกได้เลยว่าอร่อยถูกปากมาก ๆ พอทานกันจนอิ่มท้องเราก็มุ่งหน้าไปที่ ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของสุราษฯ ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสาย เพราะที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของต้นน้ำลำธารขนาดเล็กที่มีน้ำใสมาก ๆ มาดูกันว่าของจริงจะใสสมคำร่ำลือกันจริงหรือเปล่า
หลังจากเดินทางมาชั่วโมงกว่าก็ถึงจุดหมายแล้ว มองไปก็เห็นลำธารน้ำสีฟ้ามรกต บอกเลยว่าใสจริง ๆ คนลงเล่นน้ำกันเยอะมาก แถมบรรยากาศโดยรอบยังถูกโอบล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์จำนวนมากมาย
ทางเราก็ไม่พลาดที่จะจุ่มเท้า นั่งรับลมเย็นสบาย ๆ แบบผ่อนคลายสุด ๆ แถมยังสามารถพายเรือชมความงดงามของคลองมะเลาะและธรรมชาติโดยรอบของป่าพุได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการมาสูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาจิตใจได้ดีเลยทีเดียว
หลังจากจุ่มเท้าและพายเรือจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว เราก็ขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พัก ซึ่งคืนนี้เราเลือกพักกันที่ เขาสกบูติกแคมป์ (Khaosok Boutique Camps) โดยพนักงานที่นี่น่ารักมาก ๆ คอยต้อนรับและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี โดยเราจองมาเพียงคืนละ 1,000 บาทต้น ๆ เท่านั้น
ซึ่งตอนที่เราเดินทางมาถึงที่พักก็เกือบเย็นแล้ว เย็นนี้เราจึงไม่มีแพลนเดินทางไปไหน และคิดว่าจะอยู่ในที่พักและพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนออกเดินทางไปเที่ยวในตัวเมืองในเช้าวันสุดท้ายของวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
เช้าวันสุดท้ายเราก็ตื่นมาทานอาหารที่ทางที่พักได้จัดเตรียมไว้ หลังจากนั้นก็กลับห้องพักเพื่อมาเก็บสัมภาระต่าง ๆ เข้ากระเป๋า และเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก เดินทางกันต่อไปยัง Bridge Hill Cafe ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก
ซึ่งคาเฟ่แห่งนี้เป็นคาเฟ่สุดชิคที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา โอบล้อมไปด้วยบรรยากาศของธรรมชาติผืนป่าอันงดงามที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวขจีเรียงรายบนแนวเขาจนเกิดเป็นภาพที่สวยงาม แถมราคากาแฟยังไม่แพงอีกด้วย ตกแก้วละประมาณ 80-85 บาท นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมเบเกอรี่น่าตาน่ารับประทานให้เลือกชิมอย่างมากมาย
ขอบคุณภาพจาก facebook.com/bridgehiicafe
และที่สำคัญบริเวณรอบ ๆ ยังมีมุมถ่ายรูปที่คุณสามารถไปยืนโพสท่าสวย ๆ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคาเฟ่ที่ดีทั้งบรรยากาศ รสชาติเครื่องดื่ม และมุมถ่ายรูปที่โดนใจเหล่าบรรดาวัยรุ่นและวัยเก๋าได้อย่างมากเลยทีเดียว
เมื่อจิบกาแฟ รับลมเย็น และถ่ายรูปกันจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว เราก็เดินทางมุ่งหน้าต่อไปยัง วัดถ้ำวราราม หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าวัดถ้ำปลา โดยภายในวัดมีลักษณะเป็นถ้ำหินปูนที่มีความยาวกว่า 100 เมตร ทอดยาวลอดใต้ภูเขา ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะเข้ามากราบนมัสการพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตได้
หลังจากไหว้พระและเดินชมความแปลกตาภายในถ้ำกันจนพอใจแล้ว เราก็ขึ้นรถยิงยาวไปเช็กอินอีกหนึ่งจุดสำคัญของจังหวัดสุราษฯ นั่นก็คือ การไปนมัสการพระธาตุไชยา ที่วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของชาวสุราษฯ มาแต่ช้านาน
โดยได้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมด้วยการใช้ศิลปะแบบศรีวิชัย ทำให้เจดีย์พระบรมธาตุไชยามีความสวยงามอย่างน่าสะดุดตา แถมภายในวัดยังเงียบสงบ และร่มรื่นเป็นอย่างมากอีกด้วย
พอเรากราบไหว้และทำบุญต่าง ๆ เรียบร้อย เราก็ได้ขับรถไปยังสนามบินสุราษฯ เพื่อเตรียมคืนรถเช่า เนื่องจากทริปนี้เราได้ใช้บริการเช่ารถขับเองกับ Traveloka บนหน้าแอปพลิเคชัน บอกได้เลยว่านอกจากจะใช้งานง่ายแล้ว ราคาก็ยังคุ้มค่ามาก ๆ อีกด้วย หากใครสนใจก็สามารถลองเข้าไปเช็กดูราคากันได้ที่ >> https://www.traveloka.com/th-th/car-rental
หลังจากที่คืนรถกับทางเจ้าหน้าที่เรียบร้อย เราก็เช็กอินที่หน้าเคาน์เตอร์และเดินเข้า Gate เตรียมตัวขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพไปใช้ชีวิตกันต่อ
จบไปแล้วกับการเดินทางออกมาตะลุยใกล้ชิดกับธรรมชาติที่จังหวัดสุราษฯ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ทริปนี้เป็นการท่องเที่ยวที่เก็บได้ครบทุกรูปแบบมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะการสัมผัสและใช้ชีวิตท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติอันงดงาม ทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบเนิบ ๆ โดยไม่ต้องเร่งรีบเหมือนการใช้ชีวิตในตัวเมืองเหมือนอย่างเคย ก่อนจะจบทริปนี้ไปเราก็อยากแนะนำว่าสุราษฯ ก็เป็นหนึ่งในจังหวัดของภาคใต้ที่มีดีไม่แพ้ภูเก็ต หรือกระบี่เลย ลองหาเวลามาใช้ชีวิตกับตัวเอง และคุณจะตกหลุมรักแบบเรา