เที่ยวเมลเบิร์น ซื้อเป็นแพคเกจที่พักพร้อมตั๋วเครื่องบินราคาถูกกว่า
เมลเบิร์นได้ชื่อเป็นเมืองในฝันของคนที่รักวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ทั้งด้านศิลปะ อาหาร และดนตรี นอกจากนั้น ยังเป็นเมืองที่ถือว่าผู้คนล้วนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก ทั้งทางด้านวิถีชีวิตและการศึกษา รวมถึงเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง มีค่าครองชีพไม่แพงมาก สะอาด สวยงาม และผู้คนเป็นมิตร หากต้องการสำรวจและเที่ยวเมลเบิร์นให้ครบอย่างสุดคุ้ม ก็จองกับ Traveloka เลย! เรารวบรวมที่พักและตั๋วเครื่องบินที่เหมาะกับคุณและสามารถช่วยให้ประหยัดได้ขึ้นหลายเท่าตัวเลย!
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองหลวงของรัฐวิคตอเรีย และมีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของประเทศ เมลเบิร์นเป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่รองจากแค่ซิดนีย์เท่านั้น แถมยังเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปวัฒนธรรม การเงิน และการคมนาคมของประเทศอีกด้วย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีทั้งท่าอากาศยานนานาชาติ ท่าเรือ และสถานีรถไฟเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นๆ ของออสเตรเลีย
เมลเบิร์นได้ชื่อเป็นเมืองในฝันของคนที่รักวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ทั้งด้านศิลปะ อาหาร และดนตรี นอกจากนั้น ยังเป็นเมืองที่ถือว่าผู้คนล้วนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก ทั้งทางด้านวิถีชีวิตและการศึกษา รวมถึงเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง มีค่าครองชีพไม่แพงมาก สะอาด สวยงาม และผู้คนเป็นมิตร และยังมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติของประชากรค่อนข้างสูง แต่สามารถผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งยังส่งผลทำให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยนานาชาติให้ได้เลือกชิมกันอีกด้วย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เมลเบิร์นได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกถึง 7 ปีซ้อน นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 เป็นต้นมา
วิธีการเดินทางหลักๆ ที่ใช้ในเมืองเมลเบิร์นมีอยู่ 3 อย่าง คือการใช้รถไฟใต้ดิน รถราง และรถบัส ซึ่งใช้ค่าโดยสารในอัตราเดียวกัน ส่วนการเดินทางต่อไปยังเมืองใกล้เคียงสามารถใช้รถไฟและเรือที่มีให้บริการได้ นอกจากนั้นก็ยังมีรถแท็กซี่คอยให้บริการด้วย รถไฟใต้ดินในเมลเบิร์นจะสิ้นสุดการให้บริการประมาณเที่ยงคืนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรถไฟใต้ดินแต่ละสายจะมีเวลาการให้บริการไม่เหมือนกัน ในช่วงคืนวันศุกร์และวันเสาร์จะมีการให้บริการพิเศษเพิ่มเติมที่เรียกว่า Night Network ซึ่งเป็นการให้บริการรอบรถไฟนอกตารางซึ่งมีความถี่ที่ใช้เวลานานกว่าในรอบปกติ ส่วนของรถรางจะมีบางโซนที่เปิดให้บริการฟรี แนะนำให้เช็คข้อมูลก่อนใช้บริการ รถบัสประจำทางจะมีผู้คนใช้บริการไม่มาก โดยส่วนใหญ่จะเน้นให้บริการในจุดที่รถไฟหรือรถรางไปไม่ถึง ทั้งรถไฟใต้ดิน รถรางและรถบัส สามารถใช้บัตรโดยสารแบบเติมเงินร่วมกันได้
ขึ้นชื่อว่าได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกถึง 7 ปีซ้อน ย่อมเป็นการการันตีคุณภาพชีวิต ความสะดวกและความปลอดภัยในเมืองนี้ได้แบบสบายๆ นั่นทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองเมลเบิร์นยิ่งน่าสนใจ แถมนอกจากความสะดวกสบายที่จะได้รับ เมลเบิร์นยังมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ สถานที่ท่องเที่ยวไฮเทคแบบว้าวๆ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแบบคูลๆ นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารและสถานบันเทิงยามค่ำคืนไว้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบชีวิตไนท์ไลฟ์ และหากคุณสนใจจะวางแผนท่องเที่ยวในเมลเบิร์น ลองมองหาความสะดวกสบายในการเดินทางและที่พักจาก Traveloka ดูสิ มีหลายตัวช่วยเลยละที่จะทำให้การท่องเที่ยวของคุณง่ายขึ้น แล้วลองมาดูตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมลเบิร์นกันก่อนดีกว่าว่าจะมีที่ไหนบ้าง?
ถนน Great Ocean เป็นถนนสายคลาสสิก Australian National Heritage ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในถนนเส้นที่สวยและโรแมนติกสุดๆ เส้นหนึ่งของเมลเบิร์น เพราะตลอดเส้นยาวเหยียดราวๆ 100 กิโลเมตร จะมีทั้งเส้นทางโค้ง เส้นทางขึ้นเขา ฝั่งหนึ่งจะเห็นทิวทัศน์สีเขียวสบายตาของต้นไม้หนาแน่น อีกฝั่งจะเป็นผืนมหาสมุทรสีฟ้าใสตัดกับเกลียวคลื่นสีขาวไปตลอดทาง และสุดปลายทางของถนนนี้จะพบกับสถานที่สุดอัศจรรย์จากฝีมือธรรมชาติอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินที่ถูกคลื่นลมและน้ำทะเลกัดเซาะเป็นเวลานาน จนกลายเป็นแท่งหินรูปร่างต่างๆ กันถึง 9 แท่ง ที่มีอายุราวๆ 20 ล้านปี! แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันเกิดการพังทลายไปจนเหลือเสาหินตั้งตระหง่านให้ได้ดูกันเพียงแค่ 8 เสาเท่านั้นเอง
ขบวนรถจักรไอน้ำโบราณซึ่งเหลือเพียงแห่งสุดท้ายแล้วในออสเตรเลีย รถไฟขบวนนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อใช้อำนวยความสะดวกในการขนส่งถ่านหิน ภายหลังเกิดเหตุดินถล่มจึงทำให้มีการหยุดใช้เส้นทางนี้ไปเป็นเวลาหลายปี จุดเด่นของการนั่งรถไฟเก่าแก่ขบวนนี้อยู่ที่การได้นั่งห้อยขาสบายๆ ชมทิวทัศน์ที่สวยงามจนไม่อยากละสายตาซึ่งอยู่สองข้างของเส้นทาง
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น.
อัตราค่าเข้าชม ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 59 AUD สำหรับผู้ใหญ่ และ 30.50 AUD สำหรับเด็ก (ขึ้นอยู่กับระยะทางที่โดยสาร)
เกาะฟิลลิปอยู่ห่างจากเมลเบิร์นราวๆ 138 กิโลเมตร เป็นเกาะหนึ่งที่มีทัศนียภาพสวยงาม แต่ไฮไลท์ของการมาเยือนเกาะนี้ไม่ใช่การมาชื่นชมวิวทิวทัศน์ แต่เป็นการมาดูเหล่าเพนกวินจิ๋วนับร้อยตัวเดินเข้าแถวจากบริเวณชายหาดกลับขึ้นไปยังรังของตัวเองบนฝั่งในยามเย็นย่ำช่วงพระอาทิตย์ตกดิน หลังจากออกไปแหวกว่ายอาหารในทะเลมาทั้งวัน นอกจากนั้น ในบริเวณเกาะเดียวกันนี้ ยังมีกิจกรรมชมจิงโจ้ แมวน้ำ และโคอาล่า หรือใครรักการเล่นกระดานโต้คลื่นก็สามารถเล่นได้ที่นี่เช่นกัน
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น.
อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 18 AUD เด็ก 9 AUD เฉพาะชมเพนกวิน และเริ่มต้นที่ 58 AUD สำหรับผู้ใหญ่ ในการเข้าชมส่วนแสดงสัตว์อื่นๆ
ตึกสูง 297.3 เมตร ใจกลางนครเมลเบิร์นแห่งนี้ มีไฮไลท์สุดว้าวอยู่ที่ชั้นบนสุดซึ่งเปิดเป็นจุดชมวิวที่เรียกว่า Skydeck ซึ่งสามารถชมวิวจากมุมสูงของเมืองเมลเบิร์นได้ผ่านผนังกระจกที่จัดเตรียมไว้ โดยไฮไลท์อยู่ที่การมีห้องส่วนหนึ่งซึ่งมีสวิทช์ควบคุมให้ห้องสามารถยื่นออกไปภายในอากาศนอกตัวอาคารได้ และแน่นอนว่าย่อมเป็นพื้นกระจกใสเพื่อให้เห็นทิวทัศน์ด้านล่างด้วยนะ ใครรักความสูงขอแนะนำ
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น.
อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 21 AUD เด็ก 12.50 AUD
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในแถบซีกโลกใต้ รวบรวมทุกเรื่องราวของชาวออสเตรเลียไว้อย่างค่อนข้างครอบคลุม ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเป็นมา วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมืองอย่างชาวอะบอริจิ้น โดยมีไฮไลท์อยู่ที่จอแสดงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่มีระบบเสียงรอบทิศทาง รวมถึงมีการจำลองป่าไม้แบบเสมือนจริงเอาไว้ภายในอีกด้วย
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น.
อัตราค่าเข้าชม เริ่มต้นที่ ผู้ใหญ่ 25.50 AUD เด็ก 12 AUD
หลายคนคงเคยผ่านตากับภาพบ้านหลังจิ๋วสารพัดสีสันแสนสดใส ที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวอยู่บริเวณริมชายหาดจำนวน 82 หลัง เจ้าบ้านนั่นละคือ Bathing Box ซึ่งวัตถุประสงค์ของมันมีไว้เพื่อใช้เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บข้าวของ หรือหลบแดดหลบฝน ซึ่งในปัจจุบัน เจ้าบ้านหลังจิ๋วริมชายหาดนี่ละ กำลังกลายมาเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญ ซึ่งใครมีโอกาสมาเยือนเมืองเมลเบิร์นก็มักจะต้องแวะมาเช็คอินกันถ้วนหน้า คุณก็อย่าพลาดเชียว!
เพิ่งลงเครื่องมาเหนื่อยๆ เริ่มต้นเดินเล่นเช็คอินแหล่งสถาปัตยกรรมสวยๆ ในเมืองเมลเบิร์นกันแบบชิลล์ๆ ก่อนดีกว่า ที่แรกที่อยากชวนมาคือ The State Library of Victoria ซึ่งนับเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดของรัฐวิคตอเรียเลยเชียว โดดเด่นสะดุดตาจากด้านนอกด้วยสถาปัตยกรรมสุดอลังการของยุคศตวรรษที่ 19 ด้านในเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ซึ่งมีการเก็บหนังสือเก่าแก่รวบรวมไว้มากมาย บางครั้งยังมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับหนังสือในนี้อีกด้วย หากใครมาเป็นกรุ๊ปแล้วอยากได้ไกด์คอยเดินพาเที่ยวพร้อมอธิบายที่มาที่ไป ที่นี่ก็มีให้บริการนะ แจ้งล่วงหน้าได้เลย
เสร็จจากการเดินเล่นแบบประหยัดค่าใช้จ่าย ก็ได้เวลาไปหาของใส่ท้องกันบ้างดีกว่า มื้อแรกเราแนะนำให้มาหาอะไรกินกันที่ย่าน China Town ซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้านในโซนนี้มีร้านอาหารเอเชียมากมาย ไม่ว่าจะไทย จีน เวียดนาม เกาหลี แวะกินอาหารที่คุ้นลิ้นในย่านเอเชียกันก่อน แล้วค่อยๆ ปรับลิ้นแบบเบาๆ ไว้รอชิมอาหารแบบชาวออสเตรเลียนในมื้อต่อๆ ไปไงคุณ
แวะไปแชะภาพต่อกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญประจำเมืองเมลเบิร์น ที่สถานีรถไฟ Flinders Street Station อาคารสถานีรถไฟหลักของเมืองนี้ ด้านนอกเป็นอาคารสวยคลาสสิกสีเหลืองสดใสชนิดมองเห็นได้แต่ไกล นักท่องเที่ยวเกือบทุกรายที่มาเยือนเมลเบิร์นต้องแวะมาถ่ายภาพเช็คอินเป็นที่ระลึกหน้าสถานีรถไฟกันแทบทั้งนั้น เป็นการยืนยันไงว่าได้มาเยือนเมลเบิร์นแล้วจริงๆ นะ!
ไปเดินเล่นสูดอากาศดีๆ ธรรมชาติงามๆ ใจกลางเมืองกันที่ Treasury Gardens กันซักนิด ก็ถือเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนเมลเบิร์นได้แบบสบายๆ ท่ามกลางสวนสวย ต้นไม้ร่มรื่น แถมใกล้กันยังมี Fitzroy Gardens อีกหนึ่งสวนสวยเก่าแก่ตั้งแต่ยุควิคตอเรียน ที่มีการนำบ้านของกัปตัน เจมส์ คุก นักเดินเรือชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลียมาไว้กลางสวน นอกจากนั้น ยังมีต้นไม้ใหญ่ และพรรณไม้ดอกไม้ใบงามๆ ให้ได้เดินชมกันแบบสุดผ่อนคลายอีกด้วย ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ไปเองเถอะ ลองดู!
ปิดท้ายวันกันแบบเบาๆ ชิลล์ๆ ด้วยการล่องเรือชมเมืองเมลเบิร์นแบบสบายและโรแมนติกกันในแม่น้ำ Yarra ก็ถือว่าเป็นปิดฉากการมาเยือนเมืองสวยเมืองนี้ได้แบบไม่เลวนะ กับการเลาะเลียบชมบรรยากาศสวยๆ ยามเย็นสองฝั่งแม่น้ำ ชมอาคารบ้านเรือนงามๆ และวิถีผู้คน นับว่าเป็นทางลัดในการจะได้เห็นความสวยของเมืองนี้ได้แบบกว้างไกล ประหยัดเวลา และยังได้เห็นเมืองในมุมใหม่ๆ อีกด้วยนะ
ออกมานอกเมืองกันซักนิด เพื่อมาสัมผัสประสบการณ์การนั่งห้อยขาสุดชิลล์บนรถจักรไอน้ำขบวนสุดท้ายของออสเตรเลียกัน กับ Puffing Billy Railway ชมธรรมชาติแสนสวยสองข้างทางแบบได้บรรยากาศสุดๆ เพราะจะหาที่ไหนที่เราจะได้นั่งห้อยขามาสัมผัสกับต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางรถไฟแบบนี้ ถ้าไม่ลองอาจจะเสียใจนะ เพราะประสบการณ์นี้หาได้ที่นี่แค่ที่เดียว
กลับเข้าเมืองมาซึบซับบรรยากาศแห่งประวัติศาสตร์กันต่ออีกนิด ที่ Melbourne Museum พิพิธภัณฑ์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่ใช่ชาวเมลเบิร์นเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของชาวออสเตรเลียนทั้งประเทศ ตั้งแต่ประวัติ ความเป็นมา วิวัฒนาการ ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม รวมถึงเรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมือง ทั้งหมดมีทั้งโซนจัดแสดง และโซนนำเสนอด้วยวิวัฒนาการสุดล้ำ ที่จะทำให้คุณเพลินจนลืมเวลา
ขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมลเบิร์นยามเย็น ช่วงรอยต่อระหว่างพระอาทิตย์ตกดินจนถึงชมแสงสียามย่ำค่ำที่ Eureka Skydeck 88 ตึกสูงกลางเมืองที่นอกจากจะได้เดินดูวิวสวยๆ 360 องศากันแล้ว ยังได้ชมวิวจากมุมแปลกตากันด้วยการอยู่ในส่วนพิเศษของอาคาร ซึ่งสร้างเป็นห้องกระจกที่จะค่อยๆ ยื่นลอยออกมาด้วยระบบสุดไฮเทค บอกเลยว่าใครรักความสูง ชอบความเสียว ต้องไปลอง
ในส่วนของมื้อค่ำ ถ้ายังสนใจอยากป้วนเปี้ยนอยู่กับอาหารเอเชีย แนะนำให้ไปลองเมนูฟิวชั่นกันที่ร้าน Calia ซึ่งความเก๋อยู่ตรงที่ร้านนี้ได้รับการบรรจุเข้าไปอยู่ในรายชื่อร้านอาหารแนะนำ World Best 50 Restaurants ร้านนี้เสิร์ฟเมนูเอเชียน ฟิวชั่น ซึ่งผ่านการปรุงรสชาติมาอย่างดี ด้วยวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ราคาอาหารอาจจะเรียกไม่ได้ว่าถูกมาก แต่บวกลบคูณหารแล้ว ถือว่าอยู่ในโหมดที่พอจ่ายได้ ซักมื้อน่า ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์
มาเมลเบิร์นทั้งที จะพลาดการออกเดินทางไปตามถนนสุดโรแมนติกอย่าง Great Ocean Road ไปได้ยังไง ไฮไลท์สำคัญสุดๆ ของเส้นทางนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นบริเวณ Twelve Apostles เสาหินกลางทะเลกับวิวสุดอลังการที่พลาดไม่ได้ถ้ามาเยือนในละแวกนี้ หลายคนอาจเคยเห็นที่นี่ผ่านตาจากโปสการ์ด เว็บไซต์ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในฉากละครหรือภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง แต่พูดตรงนี้ว่าของจริงน่ะ มหัศจรรย์พันล้านอลังการกว่ากันเยอะ!! หากใครชอบขับรถและอยากซึมซับบรรยากาศตลอดเส้นทางแบบดื่มด่ำ แนะนำการเช่ารถขับเที่ยวเอง เพราะสามารถแวะชมแวะเที่ยวได้ในทุกสถานที่ที่ต้องการ เนื่องจากบนถนนสายนี้มีที่ให้แวะอีกเพียบ แล้วถ้าไม่อยากต้องขับรถกลับแบบรีบร้อน อาจจะจองที่พักแวะนอนที่เมือง Port Campbell ซึ่งอยู่ไม่ไกลซักคืนก็ยังได้ จะได้มีเวลาชิลล์แบบสะใจ แต่หากไม่อยากขับรถเที่ยวเองก็มีบริการ One Day Tour จากหลายบริษัทในตัวเมืองเมลเบิร์นให้เลือกได้ เอาตามสไตล์ที่ชอบก็แล้วกันนะ
One Day Trip กันอีกซักวันจะเป็นไร ก็ไหนๆ เรามาเมืองแห่งธรรมชาติทั้งที จะหมกตัวอยู่แต่ในเมืองก็จะดูกระไรอยู่ จริงมั้ย? แถมทริปนี้จะพามาศึกษาธรรมชาติสัตว์โลกสุดน่ารักกันมากมายที่ Phillip Island เกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเมลเบิร์นเท่าไหร่นัก แต่เรียกได้ว่ามีอะไรๆ ให้ดูเพียบ ตั้งแต่สัตว์พื้นถิ่นที่เป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลียอย่าง จิงโจ้ โคอาล่า ไปจนถึงสัตว์น่ารักอื่นๆ อย่างแกะ ม้า และไฮไลท์เลยคือการมาซุ่มรอดูเพนกวินจิ๋วเดินพาเหรดขึ้นฝั่ง กลับจากการออกหากินบริเวณชายหาดไปยังรังที่อยู่อาศัยของมัน รับรองว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของคนรักสัตว์แน่นอน และหากใครอยากได้ความชิลล์แบบส่วนตัว ก็ขอแนะนำให้เช่ารถขับกันอีกหนึ่งวันนะ เพราะจะได้แวะเที่ยวส่วนต่างๆ ของเกาะกันได้แบบทั่วๆ ตามอำเภอใจ แต่ถ้าใครไม่ถนัด จะซื้อทัวร์ One Day Trip จากในตัวเมืองเมลเบิร์นมาก็ได้ แล้วแต่ความแฮปปี้ก็ละกัน
มาถึงเมลเบิร์นแล้ว จะไม่ไปเช็คอินอีกหนึ่งแลนด์มาร์คอย่าง Bathing Boxes ที่หาด Brighton กันซักหน่อย ก็อาจจะเหมือนว่ายังมาไม่ถึงดี ก็ภาพเจ้าบ้านหลังเล็กๆ สีสดใสหลากหลายลาย ที่เรียงหน้ากระดานกันยาวๆ ไปตามชายหาดน่ะ มันน่าพลาดการไปแอ็คชั่นถ่ายรูปอยู่เหรอ จริงมั้ย? Bathing Boxes ของที่นี่มีอยู่ประมาณ 82 หลัง สารพัดสีสันและสารพัดลวดลาย วัตถุประสงค์ที่สร้างขึ้นคือเพื่อใช้เก็บข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือหลบแดดหลบฝนในเวลามาเที่ยวริมทะเล แต่อย่าเผลอไปงัดแงะหลังไหนเข้าล่ะ เพราะทุกหลังน่ะ มีเจ้าของที่ต้องเสียเงินประมูลซื้อเจ้าบ้านเหล่านี้มาในราคาแพงลิ่วเลยนะ ถ่ายรูปและดูแต่ตาก็พอ เพื่อความปลอดภัย
ถ้าหากไม่ใช่วันจันทร์หรือวันพุธ แนะนำว่าอย่าพลาดการไปเดินเล่นที่ตลาดเก่าแก่ของเมืองเมลเบิร์นอย่างตลาด Queen Victoria ที่นี่เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่รวบรวมทั้งของสด ของแห้ง ของฝากไว้ในที่เดียวกัน แถมยังมีร้านอร่อยหลายร้านให้ได้ฝากท้องเอาไว้ด้วยนะ นาทีนี้ละ อยากกิน อยากช้อปอะไร ละลายทรัพย์กันได้แบบเต็มที่ไปเลย แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ย้ำอีกทีว่าตลาดนี้ปิดทุกวันจันทร์กับวันพุธนะ เช็คเวลากันดีๆ เพราะเวลาปิดในแต่ละวันก็ไม่เท่ากันน้า
ถ้าเวลายังเหลือแต่ไม่รู้จะไปไหน แนะนำให้ไปเดินเล่นในย่านใจกลางเมืองกันอีกรอบ ใกล้กับ Flinder Street Station จะมีย่านสุดฮิปที่เรียกว่า Hosier Lane กับถนนกราฟิตี้สุดแนวที่ผู้คนนิยมมาเดินเล่นแวะถ่ายรูปเช็คอินกันแบบเก๋ๆ คูลๆ ใกล้ๆ กัน ยังมีร้านทาปาสบาร์ชื่อดังของเมลเบิร์นที่ชื่อ Movida ซึ่งเป็นร้านเด็ดร้านดังที่มีหลายสาขาในเมืองนี้ ไหนๆ มาเยือนถึงที่แล้วก็อย่าพลาดชิมกันด้วยนะ
หวังว่าทริปท่องเที่ยวแบบ 5 วัน 4 คืน กับตัวอย่างแหล่งเช็คอินในเมลเบิร์นที่เรานำมาฝากกัน คงจะเป็นไอเดียเริ่มต้นให้หลายคนนำไปปรับใช้กับการเดินทางท่องเที่ยวในสไตล์ของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย เมลเบิร์นยังมีที่กินที่เที่ยวที่น่าไปเยือนอีกมากมาย หากสนใจ ลองเริ่มต้นทริปท่องเที่ยวในรูปแบบของคุณเองได้ด้วยการจองที่พักกับ Traveloka แล้วคุณจะรู้ว่าการวางแผนเดินทางด้วยตัวเองน่ะ ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด!