เที่ยวเวียดนาม ซื้อเป็นแพคเกจถูกกว่า
เวียดนามเป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากอยู่ใกล้ ใช้เวลาบินไม่นาน ฟรีวีซ่า และที่สำคัญคือมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสามารถเที่ยวได้ทุกเมือง ซึ่งในแต่ละเมืองของเวียดนามก็จะมีความแตกต่าง โดดเด่นกันออกไป จริงอยู่ที่ว่าค่าใช้จ่ายในการเที่ยวเวียดนามอาจจะไม่แพง แต่ถ้าอยากให้ค่าใช้จ่ายถูกกว่านั้นได้อีก แนะนำให้จองเป็นแพ็คเกจตั๋วเครื่องบิน และที่พักเวียดนามไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินไปได้มากอยู่ทีเดียว
มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ลาว และกัมพูชา ประเทศเวียดนามมีลักษณะประเทศเป็นแนวยาว มีภูเขาสูงกั้นที่ราบลุ่มแม่น้ำทางเหนือและใต้ แต่มีภูเขาที่มีป่าไม้หนาทึบเพียงแค่ 20% เท่านั้น และด้วยความที่เป็นประเทศซึ่งมีความยาวไล่จากเหนือลงใต้ ทำให้ภูมิอากาศของแต่ละภาคในเวียดนามค่อนข้างต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยความที่เวียดนามเป็นประเทศที่ผ่านความบอบช้ำจากการสู้รบมาอย่างยาวนาน ผ่านการแบ่งแยกประเทศจนกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง ประเทศชาติตะวันตกทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาล้วนทิ้งบางส่วนของอารยธรรมบ้านเมืองตัวเองไว้ในเวียดนาม โดยเฉพาะในด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งเมื่อมาผสานกับอารยธรรมดั้งเดิมที่ได้อิทธิพลหลักจากประเทศจีน ซึ่งเวียดนามรับมาผสานกับวัฒนธรรมของตัวเองไว้อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอาหาร งานเทศกาล หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าชุดแต่งกายประจำชาติ ทำให้เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความผสมกลมกลืนทางด้านวัฒนธรรมที่แปลกตา แต่มีเสน่ห์เป็นของตัวเองไม่ซ้ำใคร
การเดินทางในประเทศเวียดนามสามารถทำได้หลายวิธี จากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่งนิยมใช้การเดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัสประจำทาง ซึ่งผู้เดินทางควรจะจองตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน เพื่อความสบายใจว่ามีที่นั่งในรถบัสหรือรถไฟอย่างแน่นอน ในส่วนการเดินทางในตัวเมืองใหญ่ สามารถใช้บริการรถประจำทาง รถจักรยานเช่า รถแท็กซี่ และรถจักรยานยนต์รับจ้างได้ หรือหากอยากซึมซับความเป็นเวียดนามมากขึ้นก็แนะนำให้ใช้บริการรถสามล้อ แต่การจราจรของเวียดนามจะค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ควรต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทางหากเช่ายานพาหนะขับขี่เอง
เวียดนามเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของภูมิประเทศที่แปลกตาและค่อนข้างหลากหลาย รวมถึงมีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ มีเอกลักษณ์และน่าสนใจ ที่เที่ยวของเวียดนามโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติเป็นหลัก รองลงมามักจะเป็นโบราณสถานที่มีความน่าสนใจในด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ รวมถึงวัฒนธรรมด้านอาหารก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และหากคุณสนใจจะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเวียดนาม ลองมองหาความสะดวกสบายในการเดินทางและที่พักจาก Traveloka ดูสิ มีหลายตัวช่วยเลยละที่จะทำให้การท่องเที่ยวของคุณง่ายขึ้น แล้วลองมาดูตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเวียดนามกันก่อนดีกว่าว่าจะมีที่ไหนบ้าง?
Imperial Citadel of Thang Long
หนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองฮานอย เป็นพระราชวังซึ่งสร้างด้วยหินทั้งหมด และเป็นพระราชวังหินเพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1379 ในปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเพราะความน่าพิศวงในฝีมือการก่อสร้างและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในยุคโบราณ ซึ่งยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ทุ่นแรงในการก่อสร้างอย่างในทุกวันนี้นั่นเอง
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.00 – 17.00 น.
อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 10,000 ดง / เด็ก 5,000 ดง
Ha Long Bay
หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เมื่อเอ่ยถึงเวียดนาม ชื่อของอ่าวฮาลองมักจะผุดขึ้นมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแรกๆ ที่ผู้คนนึกถึง ด้วยความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและระบบชีวภาพรอบๆ บริเวณอ่าวนี้ ทำให้องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนอ่าวนี้เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ด้วยทิวทัศน์สวยงามซึ่งเกิดขึ้นจากภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตา ที่กระจายตัวทั่วไปในพื้นที่อ่าวซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นทิวทัศน์ของอ่าวนี้ผ่านจอภาพยนตร์ในระดับฮอลลีวู้ดมาแล้วหลายเรื่องทีเดียว
Hoi An Old Town
เมืองเก่าสุดคลาสสิกที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ด้วยความสวยงามและแปลกตาเนื่องจากมีส่วนผสมทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ทำให้เมืองนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของประเทศเวียดนามไปแล้วเช่นกัน เราอาจเห็นบ้านและโคมไฟโบราณแบบจีน กับสะพานข้ามคลองที่มีเอกลักษณ์คุ้นตาของญี่ปุ่นตั้งอยูใกล้กันในเมืองนี้ ฮอยอันเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นหรือขี่จักรยานชมเมืองได้แบบสบายและปลอดภัย
Ho Chi Minh’s Mausoleum
สุสานโฮจิมินห์แห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญระดับชาติของเวียดนามอีกเช่นกัน เพราะมีการบรรจุร่างของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ หรือลุงโฮ วีรบุรุษของชาวเวียดนามทุกคนไว้ภายใน ทุกวันนี้นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรายังอาจเห็นชาวเวียดนามต่อแถวเข้าไปทำความเคารพร่างของท่านที่ด้านในอยู่เป็นประจำ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ห้ามใส่เสื้อแขนกุด กระโปรงสั้นเหนือเข่า และกางเกงขาสั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพสถานที่
เปิดบริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 11.00 น.
The Sand Dunes of Mui Ne
เนินทรายสีทองแห่งมุยเน่ที่หลายคนอยากไปสัมผัสนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ประกอบด้วยเนินทราย 2 เนิน 2 สี คือเนินทรายสีขาวและเนินทรายสีแดง ทั้งสองแห่งเป็นเนินทรายที่อยู่ใกล้กับชายทะเล นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปมักจะนิยมในการถ่ายรูปบริเวณเนินทรายสีแดงมากกว่า เพราะมีสีสันที่สวยสะดุดตา นอกจากนั้นยังสามารถลองเล่นกระดานลื่นบนเนินทรายซึ่งเป็นกิจกรรมสุดฮิตในแถบนี้ได้อีกด้วย ช่วงเวลาที่ดีในการท่องเที่ยวบริเวณนี้คือช่วงเช้าหรือเย็น เพราะอากาศอบอ้าวน้อยกว่าตอนกลางวัน และยังมีแสงสวยๆ ของพระอาทิตย์ให้ชมกันอีกด้วย
Bana Hill
เมืองเล็กๆ ที่ดูราวกับย่อยุโรปเอาไว้บนยอดเขาแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง Danang เพียง 40 กิโลเมตร บนความสูง 1,487 เมตร วิธีการขึ้นไปท่องเที่ยวยังด้านบนสามารถทำได้โดยการนั่งเคเบิ้ลคาร์ซึ่งมีความมหัศจรรย์จนได้ครองตำแหน่งแชมป์ 4 อันดับซึ่งเป็นที่สุดในโลกขึ้นไปที่ด้านบนยอดเขา ด้วยความยาวของเส้นทาง 5 กิโลเมตรกว่าๆ บนเคเบิ้ลคาร์ นักท่องเที่ยวจะสามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ด้านบนประกอบด้วยหมู่บ้านฝรั่งเศสจำลอง สวนดอกไม้หลากหลายรูปแบบ สวนสนุก โรงแรม และวัด ไม่ว่าคุณจะชอบท่องเที่ยวรูปแบบไหน ที่นี่ที่เดียวตอบได้ทุกโจทย์!
เปิดบริการทุกวัน กระเช้าเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.30 น. เวลาปิดอาจขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน
อัตราค่าเข้าชม (ค่าขึ้นกระเช้าและค่าเข้าสวนสนุก) ผู้ใหญ่ 700,000 ดง / เด็ก 550,000 ดง
Sa Pa
หนึ่งเมืองอากาศดีที่ตอบโจทย์คนรักธรรมชาติและความเย็นได้แบบตรงจุด เพราะซาปาถือเป็นเมืองทางด้านเหนือของเวียดนามใกล้กับชายแดนที่ต่อกับประเทศจีน จุดเด่นของเมืองนี้คือผืนนาข้าวแบบขั้นบันไดที่กว้างไกลสุดสายตา นอกจากนั้นยังมีจุดชมพระอาทิตย์และวิวสวยมุมสูงของเมืองอีกหลายจุด นอกจากนั้นยังมีตลาดของชนเผ่าพื้นเมือง อาหารรสชาติน่าลิ้มลอง และที่พักท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ขอบอกว่าสำหรับสายธรรมชาติ เมืองนี้ถูกใจคุณแน่นอน!
นอกจากจะเดินทางไม่ไกลจากประเทศไทยแล้ว เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในหลากหลายอารมณ์ให้เลือก ในแต่ละภูมิภาคก็มีสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป แต่ขอบอกได้เลยว่าไม่สามารถเที่ยวได้ทั่วในการเดินทางแค่ทริปเดียวแน่นอน หากคุณสนใจ ลองวางแผนทริปท่องเที่ยวในเวียดนามโดยใช้ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ด้วยตัวคุณเองได้แบบง่ายๆ โดยดูตัวอย่างจุดเช็คอินสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวที่เรานำเสนอเป็นต้นแบบดูก่อน แล้วอย่าลืมจองที่พักและตั๋วเครื่องบินกับ Traveloka นะ เพื่อความสะดวก ครบ จบในขั้นตอนเดียว
วันที่ 1 โฮจิมินห์ ซิตี้
จากเมืองไทยสู่เมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ ถ้ามีเวลาพอ เริ่มต้นกันที่ Ho Chi Minh’s Mausoleum แวะไปเยี่ยมเคารพสุสานของท่านอดีตผู้นำที่คนเวียดนามรักและเคารพสูงสุดกันหน่อย แม้ที่นี่จะไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่ก็ถือว่าเป็นการประเดิมทริปกันด้วยการทำความเคารพเจ้าของบ้านอันยิ่งใหญ่ ไหนๆ ก็ไปเยือนบ้านเขาแล้วนี่นา
แสดงความเคารพเจ้าของบ้านกันเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับเข้ามาเดินชมวิวสวยๆ ในตัวเมืองกันบ้าง เริ่มต้นทริปส่องสถาปัตยกรรมงามๆ ของเมืองโฮจิมินห์กันที่โบสถ์ Notre Dame Cathedral หนึ่งสถานที่เช็คอินสำคัญในเมืองโฮจิมินห์ โบสถ์นอร์ทเธอดามในเมืองนี้สร้างขึ้นโดยจำลองแบบจากโบสถ์ต้นฉบับที่ปารีส วัสดุก่อสร้างทั้งหมดก็นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส ด้านนอกมีสวนเขียวขจีล้อมรอบ แต่หากอยากชมด้านใน เขาเปิดให้เข้าเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นนะ
จากโบสถ์นอร์ทเธอดาม เดินมาอีกนิดจะพบกับอาคารสวยสไตล์โคโลเนียลผสมโกธิคสีเหลืองสดสวย นั่นคืออาคาร Central Post Office หรืออาคารไปรษณีย์กลางของโฮจิมินห์ อาคารนี้ได้รับการออกแบบจากฝีมือของนักออกแบบคนเดียวกับที่ออกแบบหอไอเฟลอันโด่งดังก้องโลก นอกจากแวะมาชื่นชมสถาปัตยกรรมงามๆ และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันแล้ว ใครอยากส่งโปสการ์ดกลับมาเมืองไทย สามารถใช้บริการที่นี่ได้เลย
ไม่ไกลจากสองที่แรก จะพบกับอาคาร Ho Chi Minh City Hall หรือศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ อาคารแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารทรงยุโรปที่สวยที่สุดของโฮจิมินห์ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ประดับด้วยเสาแบบกรีก ด้านหน้าอาคารมีสวนสวย พร้อมลานน้ำพุ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมานั่งเล่นชมบรรยกาศความงามได้ในยามค่ำคืน
มื้อเย็นวันแรกของทริปมาลองกินอาหารเวียดนามแบบแท้ๆ ในบรรยากาศดีๆ กันที่ร้าน Nha Hang Ngon ร้านนี้มีเมนูให้เลือกมากมาย แถมยังได้รับการยกย่องจากหลายเว็บไซต์ให้เป็นร้านอาหารอันดับต้นๆ ที่ควรมาลอง ไม่ว่าจะกุ้งพันอ้อย เฝอ หรือขนมเบื้องญวน ที่นี่ก็มีรอให้บริการ
ปิดท้ายถ้าแรงและเวลายังเหลือ ลองไปเดินย่อยอาหารหาซื้อของฝากกันได้ที่ Ben Thanh Market ตลาดใหญ่ที่ใครซึ่งไปโฮจิมินห์ต้องแวะช้อป เพราะมีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวตามหา ไม่ว่าจะเป็นงานแฮนด์เมด ของเก่า เสื้อผ้า อาหาร ของที่ระลึกและของฝากมากมาย ราคาต่อรองได้และไม่แพง ถ้าหิวก็ยังมีร้านเฝอชื่อดังให้ได้แวะชิมรองท้องกันเป็นมื้อดึกอีกด้วยนะ
โบกมือลาเมืองโฮจิมินห์เพื่อนั่งรถทัวร์รอบดึกไปเที่ยวต่อกันที่เมืองดาลัด รถบัสออกราวๆ สี่ทุ่ม และไปถึงดาลัดตอนเช้ามืด
วันที่ 2 เมืองดาลัด
เมืองดาลัดเป็นอีกหนึ่งเมืองสวยของเวียดนาม ทั่วทั้งเมืองให้บรรยากาศคล้ายอยู่ในยุโรป จนมีคนขนามนามว่าเมืองนี้เป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเวียดนามกันเลยทีเดียว เริ่มต้นเดินชมความสวยสุดโรแมนติกของเมืองนี้ในยามเช้ากันที่ Xuan Huong Lake ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในช่วงเช้าจะมีผู้คนมาเดินหรือวิ่งออกกำลังกายกันมากมาย นอกจากวิวดีแล้ว รอบๆ ทะเลสาบแห่งนี้ยังมีทั้งร้านอาหารและร้านขนมอีกเพียบ เลือกดูเลย!
ถ้ายังไม่อิ่มกับวิวทิวทัศน์ ไปต่อกันที่ Datanla Waterfall อีกหนึ่งแห่งดูสิ แม้จะเป็นน้ำตกที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอลังการ แต่นับว่าในด้านความสวยงามไม่เป็นรองใคร วิธีการเดินทางไปน้ำตกแห่งนี้ก็สุดเร้าใจ เพราะหากไม่เลือกนั่งรถขึ้นไป ก็สามารถเลือกชมทิวทัศน์งดงามของป่าไม้ในมุมสูงได้ผ่านการนั่งกระเช้าไฟฟ้า ส่วนวิธีการลงก็ช่างสรรหาได้เร้าใจไม่แพ้กัน นั่นคือหากคุณไม่อยากเดิน เขาก็มี Roller Coaster ให้นั่งลงมาจากด้านบนสู่ด้านล่าง เชื่อรึยังว่าที่นี่เร้าใจ!
เปลี่ยนบรรยากาศจากความเป็นยุโรปที่เราเห็นกันมาตลอดทริป ตัดอารมณ์มาชมวัดในสไตล์ญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่า ที่วัด Truc Lam Pagoda วัดพุทธนิกายเซนในรูปแบบกลิ่นอายญี่ปุ่นจ๋า ที่นอกจากจะไปไหว้พระขอพรอธิษฐานกันได้ตามใจปรารถนาแล้ว ยังเดินเล่นชมความร่มรื่นรอบๆ วัดได้เพลินๆ อีกด้วย ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีเลยละ
จากวัดญี่ปุ่น กลับมาที่การเยี่ยมชมโบสถ์แบบยุโรปกันอีกซักครั้ง ณ Dalat Cathedral โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ โดดเด่นสะดุดตาแต่ไกลด้วยโบสถ์สูง สวย สไตล์ฝรั่งเศส สีชมพูหวานของตัวอาคารตัดกับหลังคาสีเทาดูเข้ากัน ตรงจุดนี้นับเป็นจุดชมวิวที่ดีมากอีกหนึ่งจุดเลยนะ เพราะจะสามารถเห็นได้ทั้งวิวสวยของทะเลสาบและภูเขาสูงในเมืองดาลัดไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว
ปิดท้ายวันสบายๆ ในเมืองดาลัดกันที่ Dalat Night Market ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนใจกลางเมืองย่านใกล้โรงละคร Hoa Binh Theater ถนนคนเดินแห่งนี้นับได้ว่าเป็นถนนคนเดินแห่งแรกของประเทศเวียดนาม และเป็นเพียงแห่งเดียวของเมืองดาลัด ตลอดทั้งเส้นเต็มไปด้วยร้านอาหารแบบฟู้ดสตรีท และข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย อ้อ ... ต้องไปให้ตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์เท่านั้นนะ ถึงจะเจอตลาดนี้!
วันที่ 3
ตื่นเช้าซักนิด แล้วนั่งรถบัสจากเมืองดาลัดไปเดินเล่นบนเนินทรายที่เมือง Mui Ne กันดีกว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง เราก็จะได้มาพบกับเนินทรายสุดตระการตา ทั้ง Bau Trang White Sand Dune เนินทรายสีขาวขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนามที่มีทะเลสาบน้ำจืดอยู่ด้านข้าง และ Doi Cat Red Sand Dune เนินทรายสีแดงริมฝั่งทะเล ที่จะสวยงามตระการตามากที่สุดในยามต้องแสงอาทิตย์ตอนเย็น จากนั้นลองหาร้านอาหารริมทะเลกินซีฟู้ดสดๆ ของเมืองนี้กันดูซักหน่อย ไหนๆ ก็มาถึงเมืองริมทะเลอย่างมุยเน่แล้วนี่นา!
วันที่ 4
ตื่นมารับอากาศสดชื่นยามเช้าริมทะเลเมืองมุยเน่กันแบบฟินๆ ถ้าอยากเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวบ้าน แนะนำให้ลองไปที่ Fisherman Village หรือหมู่บ้านชาวประมงเมืองมุยเน่ มองวิวสวยของท้องทะเลที่มีเรือเล็กรูปทรงแปลกตาจอดเรียงรายกันอยู่เต็มพรืด ด้านบนชายหาด จะเห็นผู้คนจำนวนมากขมีขมันขนย้ายและขายปลาที่เพิ่งจับขึ้นมาได้จากท้องทะเล เป็นบรรยากาศสบายๆ ที่น่าหลงใหลและแปลกตาดี
ถ้ายังมีเวลา ลองเล่นกิจกรรมทางน้ำริมชายหาดของเมืองนี้กันซักหน่อยก็คงไม่เสียหาย หรือถ้าใครอยากนอนเล่นฟังเสียงคลื่นสบายๆ พักร่างกายจากการเดินทางก็ย่อมได้ ก่อนจะขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แล้วเดินทางขึ้นรถบัสจากมุยเน่ตรงกลับเข้าโฮจิมินห์กันได้เลย ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้วละ
หวังว่าทริปท่องเที่ยวแบบ 4 วัน 3 คืน กับที่เที่ยวหลายอารมณ์สำหรับมือใหม่หัดไปเวียดนามที่เรานำมาฝากกัน คงจะเป็นไอเดียเริ่มต้นให้หลายคนจะนำไปปรับใช้กับการเดินทางท่องเที่ยวในสไตล์ของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ประเทศเวียดนามยังมีที่กินที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ลองเริ่มต้นทริปท่องเที่ยวในรูปแบบของคุณเองได้ด้วยการจองที่พักกับ Traveloka แล้วคุณจะรู้ว่าการวางแผนเดินทางด้วยตัวเองน่ะ ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด!